หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กำไรชีวิต






 
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ใจในธรรมทุกท่าน

กุศลกรรมและอกุศลกรรมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดวิบากกรรม  กุศลกรรมให้ผลเป็น "กุศลวิบาก" เป็นผลที่ดีตามเหตุนั้น ๆ  เช่น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายกระทบสัมผัสสิ่งที่ดี สิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรมที่เลือกไม่ได้เลย  เมื่อถึงเวลาที่ผลของกรรมจะให้ผล จะห้ามไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยิน ไม่ให้ได้กลิ่น ไม่ให้ลิ้มรส  ไม่ให้กระทบสัมผัสสิ่งที่น่าพอใจไม่ได้เลย  ผลก็จะต้องเกิดขึ้น  เพราะเหตุว่ามี "เหตุ" ที่ทำให้ผลต้องเกิด และต้องเป็นอย่างนั้น

ส่วนอกุศลกรรมก็ให้ผล เช่น ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่น่าพอใจ  ให้ผลเป็นทุกข์ต่าง ๆ ตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ  สิ่งไม่ดีไม่น่ายินดี ใคร ๆ ก็ไม่ปรารถนา  แต่ก็ต้องเกิดขึ้น  เพราะว่ามีเหตุปัจจัยที่ทำให้ต้องเกิด และต้องเป็นเช่นนั้น

ขณะที่ฟังธรรมหรือศึกษาพระธรรม  ขณะนั้นเป็น "กุศลกรรม" เพราะเหตุว่าขณะนั้นมีความศรัทธาที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ได้มีความติดข้องในรูป  ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ  ฉะนั้นกุศลกรรมก็จะให้ผลเป็นกุศลวิบาก  แต่ขณะใดที่ผลของกุศลกรรม หรือกุศลวิบากเกิด และมีปัญญาเกิดร่วมด้วยเป็นกุศลจิต นำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่น่าพอใจมาให้ และยังมีกำไรอีกด้วย คือ "ปัญญา" ความเข้าใจเกิดจากการการฟัง,การศึกษาพระธรรม หรือการอ่านอะไรก็ตาม   เพราะฉะนั้นผลของกุศลย่อมให้ผลตามควรแก่เหตุปัจจัย

เหตุมีอย่างไรผลก็ต้องได้อย่างนั้น ขณะกำลังฟังธรรม ขณะนั้นก็กำลังอยู่ที่ความเข้าใจ มีความเห็นถูก จะมีมากหรือน้อยก็แล้วแต่เหตุ  ถ้าขณะนี้ได้สะสมความเห็นถูกมาแล้ว  สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย แต่มีสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏให้รู้ได้ แม้จะเล็กน้อยสั้นมาก ขณะนั้นปัญญาก็เกิดขึ้น รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏได้  ขณะใดที่กุศลมีปัญญา (เข้าใจตามความเป็นจริง) เกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็เป็นกำไรชีวิตที่ประเสริฐ

สำหรับบทความนี้หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย  และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ภัยใหญ่ของชีวิต




ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่าน

ท่านทราบไหมว่า อะไรคือภัยใหญ่ของชีวิต....อกุศลและกิเลสเป็นภัยใหญ่ของชีวิต  ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเข้านอน ถูกอกุศลและกิเลสครอบงำท่วมท้นยิ่งกว่ามหาอุทกภัย  เราท่านทั้งหลายอยู่ในโลกของความมืด ไม่มีแสงสว่างเลย เราสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้แค่ทางตาเท่านั้น  หลังจากเห็นแล้วก็เป็นเรื่องความคิดนึกมากมาย  เป็นเรื่องกุศลบ้างและอกุศลบ้าง 

สำหรับผู้ที่เคยได้ฟังพระธรรม และพิจารณาธรรมก็จะรู้ถึงภัยใหญ่ของชีวิต....เริ่มตั้งแต่ลืมตาตื่นนอน กิเลสและอกุศลมีมากมายสักเท่าไร เช่น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ  เคยคิดจะรอดพ้นจากภัยหรือไม่  สำหรับท่านที่ไม่เคยฟังพระธรรม ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ไม่คิดที่จะขัดเกลากิเลสอันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต และไม่คิดจะกระทำกรรมดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้น จนสามารถรอดพ้นจากอกุศลและกิเลสทั้งปวงได้ ก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรเป็นภัยใหญ่ของชีวิต

ชีวิตเต็มไปด้วยภัย จะพ้นจากภัยได้ก็มีทางเดียวเท่านั้นคือ เริ่มต้นด้วยการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่เข้าใจธรรมะก็เป็นกุศลแล้ว  นอกจากนั้นยังนำมาซึ่งกุศลอื่น ๆ ด้วย เช่น มีความเห็นถูก  มีความเข้าใจถูกและค่อย ๆ สะสมอบรมเจริญขึ้นด้วยความเพียร (วิริยะ) และความอดทน (ขันติ) อย่างต่อเนื่อง  ผู้เห็นประโยน์ของพระธรรม จึงต้องฟังธรรมด้วยการเป็นผู้ตรง และด้วยความเคารพพระธรรม....... ขณะฟังก็มีธรรมะปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ  มีความเข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏแค่ไหน  ก็จะต้องอาศัยการฟังธรรมหลาย ๆ ครั้ง โดยไม่หวังที่จะเป็นพระอริยบุคคล หรือจะประจักษ์การเกิดและดับไปของธรรมต่าง ๆ  ในเวลาอันสั้น แต่เป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นและมั่นคงขึ้นว่า "ทุกอย่างเป็นธรรมะ"  ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย......อกุศลและกิเลสทั้งปวงก็เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นจะรอดพ้นภัยใหญ่ของชีวิตได้ก็ด้วย "ความเข้าใจ" (ปัญญา) เท่านั้น ไม่ใช่รอดพ้นด้วยความเป็นตัวตน บุคคล เรา เขา

สำหรับบทความนี้หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย ณ ที่นี้....ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความวิจิตรของความคิด




ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา พระองค์ได้ทรงแสดงถึงแต่เรื่องที่มีจริง เป็นความจริงในชีวิตประจำวัน เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึงไหว คิดนึก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งสามารถรู้ได้....เห็นแล้วจะไม่ให้คิดก็ไม่ได้  ได้ยินแล้วจะห้ามไม่ให้คิดก็ไม่ได้ จะไม่ให้จิตคิดเกิดขึ้นก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

แต่ละคนก็มีความคิดแตกต่างกันหลากหลาย....ความวิจิตรของความคิดก็แตกต่างกันไป มีความวิจิตรมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏขณะนั้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ....จิตถึงแม้ว่าเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีการสะสมสืบต่อ เป็นปัจจัยให้แก่จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น จึงมีการสะสมสืบต่ออัธยาศัยทั้งดีและไม่ดี

ความคิดของแต่ละบุคคลหลากหลายมาก  แตกต่างกันตามการสะสมของจิต เพราะเหตุว่าไม่รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา เพราะเหตุว่าไม่รู้ (อวิชชา) จึงยึดถือในสิ่งที่ปรากฏว่าเที่ยง เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา เป็นของเรา ของเขา หรือนึกคิดเป็นเรื่องราวต่าง ๆ  ถ้าหลับสนิทก็ไม่มีเรื่องราว เพราะไม่มีการกระทบกับอารมณ์ต่าง ๆ  แต่พอลืมตาตื่น ก็ได้ยิน ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วก็คิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ .....เรื่องราวต่าง ๆ ก็เกิดมาจากการจำคำจากเสียงต่าง ๆ  เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับสืบต่อมากมาย จนกระทั่งจำไว้เป็นเรื่องราวต่าง ๆ

สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนถึงสิ้นลมหายใจ ก็คือสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่เราก็ไม่รู้ตามความเป็นจริง....ความสุขความทุกข์มาจากไหนเราก็ไม่รู้  ถ้าไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้ลิ้มรส การได้กระทบสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว นึกคิด ความสุขความทุกข์ ความยินดีพอใจไม่พอใจย่อมไม่มี......จะไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยิน ไม่ให้ลิ้มรสก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างทุกขณะเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้  ใครจะบังคับบัญชาให้เป็นไปดังใจปรารถนาก็ไม่ได้

สักวันหนึ่งเราก็จะต้องจากโลกนี้ไป และก็จะจำไม่ได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในชีวิตของเราที่ผ่านมา.....คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ เกิดมาต่างกัน ชาติก่อน ๆ ก็เหมือนชาตินี้ เพราะว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้มาตลอดทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งถึงวันนี้  เมื่อวานก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส ก็เป็นปัจจัยให้วันนี้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส แล้วก็คิดต่อจากการที่ได้จำไว้จากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่นเมื่อวานนี้ แล้วก็คิดเป็นเรื่องราวต่าง ๆ

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แต่ละขณะจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปก็จริง แต่เป็นปัจจัยสืบต่อของทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเมื่ออกุศลหรือกุศลประเภทใดเกิด อกุศลหรือกุศลประเภทนั้นก็จะมีมาก เพราะเหตุว่ามีการสะสมสืบต่อไปอีกมากมาย....ด้วยเหตุนี้จึงควรศึกษาเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง และควรศึกษาให้เข้าใจอย่างยิ่งด้วย

สำหรับบทความนี้ หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย ณ โอกาสนี้....ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านค่ะ