หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความวิจิตรของความคิด




ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา พระองค์ได้ทรงแสดงถึงแต่เรื่องที่มีจริง เป็นความจริงในชีวิตประจำวัน เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึงไหว คิดนึก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งสามารถรู้ได้....เห็นแล้วจะไม่ให้คิดก็ไม่ได้  ได้ยินแล้วจะห้ามไม่ให้คิดก็ไม่ได้ จะไม่ให้จิตคิดเกิดขึ้นก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

แต่ละคนก็มีความคิดแตกต่างกันหลากหลาย....ความวิจิตรของความคิดก็แตกต่างกันไป มีความวิจิตรมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏขณะนั้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ....จิตถึงแม้ว่าเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีการสะสมสืบต่อ เป็นปัจจัยให้แก่จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น จึงมีการสะสมสืบต่ออัธยาศัยทั้งดีและไม่ดี

ความคิดของแต่ละบุคคลหลากหลายมาก  แตกต่างกันตามการสะสมของจิต เพราะเหตุว่าไม่รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา เพราะเหตุว่าไม่รู้ (อวิชชา) จึงยึดถือในสิ่งที่ปรากฏว่าเที่ยง เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา เป็นของเรา ของเขา หรือนึกคิดเป็นเรื่องราวต่าง ๆ  ถ้าหลับสนิทก็ไม่มีเรื่องราว เพราะไม่มีการกระทบกับอารมณ์ต่าง ๆ  แต่พอลืมตาตื่น ก็ได้ยิน ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วก็คิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ .....เรื่องราวต่าง ๆ ก็เกิดมาจากการจำคำจากเสียงต่าง ๆ  เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับสืบต่อมากมาย จนกระทั่งจำไว้เป็นเรื่องราวต่าง ๆ

สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนถึงสิ้นลมหายใจ ก็คือสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่เราก็ไม่รู้ตามความเป็นจริง....ความสุขความทุกข์มาจากไหนเราก็ไม่รู้  ถ้าไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้ลิ้มรส การได้กระทบสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว นึกคิด ความสุขความทุกข์ ความยินดีพอใจไม่พอใจย่อมไม่มี......จะไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยิน ไม่ให้ลิ้มรสก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างทุกขณะเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้  ใครจะบังคับบัญชาให้เป็นไปดังใจปรารถนาก็ไม่ได้

สักวันหนึ่งเราก็จะต้องจากโลกนี้ไป และก็จะจำไม่ได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในชีวิตของเราที่ผ่านมา.....คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ เกิดมาต่างกัน ชาติก่อน ๆ ก็เหมือนชาตินี้ เพราะว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้มาตลอดทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งถึงวันนี้  เมื่อวานก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส ก็เป็นปัจจัยให้วันนี้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส แล้วก็คิดต่อจากการที่ได้จำไว้จากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่นเมื่อวานนี้ แล้วก็คิดเป็นเรื่องราวต่าง ๆ

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แต่ละขณะจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปก็จริง แต่เป็นปัจจัยสืบต่อของทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเมื่ออกุศลหรือกุศลประเภทใดเกิด อกุศลหรือกุศลประเภทนั้นก็จะมีมาก เพราะเหตุว่ามีการสะสมสืบต่อไปอีกมากมาย....ด้วยเหตุนี้จึงควรศึกษาเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง และควรศึกษาให้เข้าใจอย่างยิ่งด้วย

สำหรับบทความนี้ หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย ณ โอกาสนี้....ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านค่ะ