หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ธรรมะกับชีวิตประจำวัน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ธรรมะกับชีวิตประจำวัน แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ธรรมะกับชีวิต

ขอนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมะทุกท่าน

วันนี้ท่านได้สำรวจตนเองบ้างมั้ยคะ...ว่าสภาพจิตของท่านตลอดทั้งวันเป็นอย่างไรบ้าง  เคยสังเกตดูบ้างมั้ยค่ะ ตั้งแต่เช้าตื่นมา จิตใจเป็นอย่างไร พอตื่นลืมตาก็ได้ยินเสียงชาวบ้านข้าง ๆ บ้านทะเลาะกันดัง  จะรู้สึกเป็นไงบ้างคะ..ก็คงจะไม่พอใจขัดใจหรือไม่สบายใจแน่นอน  "เสียง" เป็นเพียงรูปธรรม เพราะไม่รู้อะไรเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด แล้วก็ดับเป็นธรรมดา เสียงไม่สามารถทำให้จิตเศร้าหมองได้ ที่เรารู้สึกไม่พอใจขัดใจ และจิตเศร้าหมองนั้น เพราะเหตุว่ามีนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลและอกุศล  นามธรรมชนิดนี้เรียกว่า "เจตสิก"

จิต เป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งในอารมณ์ต่าง ๆ  ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านี้  ความรู้สึกขัดใจไม่พอใจนั้นเป็น"โทสมูลจิต" เป็นสภาพธรรมฝ่าย "อกุศล" ถ้าเราได้ยินเสียงเพลงไพเราะในตอนเช้าตื่นมา เราก็จะรู้สึกสบาายใจพอใจ  ถึงแม้จะได้ฟังเพียงนิดหน่อยก็ยังมีความชื่นชอบยินดี นี่ก็เป็นสภาพธรรมฝ่าย "อกุศล" เช่นกันนะ ความยินดีพอใจติดข้องต้องการนี้เป็น "โลภมูลจิต" เป็นกิเลสที่นำเราให้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฎมาหลายภพชาตินับไม่ถ้วนแล้ว และยังจะต้องเวียนว่ายต่อไปอีก ถ้าไม่สะสมปัญญาในชาตินี้ จะเห็นว่าแม้กุศลก็เกิดยากมากเพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของนามธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก

ถ้าเป็นกรณีที่ตื่นมาก็ได้ยิน เสียงธรรมะบรรยายจากวิทยุ จิตใจก็ผ่องใสแช่มชื่น ขณะนั้นจิตเป็น "กุศล" เพราะเหตุว่ามี "สติเจตสิก" เกิดร่วมกับจิตในขณะนั้น ขณะใดที่สติเกิดขณะนั้นจิตเป็น "กุศลจิต"

จะเห็นได้ว่า...ชีวิตคนเราวัน ๆ จิตเป็นไปในอกุศลซะส่วนมาก  เพราะว่าการที่จิตจะเป็น "กุศลจิต" ได้นั้น
จะต้องประกอบด้วย "สติ" ซึ่งเป็น "ธรรมะฝ่ายกุศล" หรือเรียกอีกชื่อว่า "โสภณธรรม"  อยู่ดี ๆ สติจะเกิดเองไม่ได้เลย ถ้าไม่เคยได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน เพราะเหตุว่า สติมีหลายขั้นหรือหลายระดับ

การที่จะสติจะเกิดได้นั้น จะต้องเป็นไปในขั้นทาน  ขั้นรักษาศีล ขั้นเจริญความสงบของจิต และขั้นเจริญปัญญา ดังนั้นจึงต้องมีการฟังพระธรรม เป็นการสะสมความเข้าใจเพื่อละ "ความไม่รู้" (โมหะ) ซึ่งเป็นสติขั้นการฟังก่อน จนกว่ามีความเข้าใจมากขึ้น ๆ อบรมให้มีขึ้น เจริญขึ้น จนเป็นสติในขั้นสูงขึ้นตามลำดับ

ท่านทราบมั้ยว่า..สติระลึกรู้อะไร...สติระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ  ระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็น "นามธรรม" บ้าง และระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็น "รูปธรรม" บ้าง การที่สติจะเกิดขึ้นและระลึกได้ถูกต้องเป็น "สัมมาสติ" นั้น ต้องฟังพระธรรม แล้วหมั่นระลึกรู้สภาพธรรมขณะนี้เดี๋ยวนี้ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ให้จิตรู้ได้ ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้

สำหรับวันนี้..ก็ได้เขียนมาพอสมควรแล้ว  เดี๋ยวท่านจะเบื่อกันซะก่อน... อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ "การได้พบพระธรรมเป็นลาภอันประเสริฐ" ควรหรือที่จะเบื่อในการศึกษา

หากมีข้อความใดขาดตกหรือผิดพลาดประการใด อันเกิดจากความด้อยปัญญาของผู้เขียนเอง ก็ขอกราบขอขมาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยเจ้า และครูบาอาจารย์ทุกท่าน และขออโหสิกรรมด้วยเมตตาจิตจากท่านผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน




ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

วันนี้พบกันที่เว็บไซด์ "ธรรมะประจำวัน" เป็นครั้งแรก  ท่านผู้อ่านมีเรื่องจะสนทนาด้วยกัน...ก็ขอเชิญด้วยความยินดีค่ะ

ท่านทราบไหมค่ะว่า ชีวิตคืออะไร..เรามีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ  ใช้ชีวิตหมดไปแต่ละวันกับความไม่รู้ซะมากกว่า  ว่าชีวิตนั้นคืออะไร  บางท่านอาจจะตอบว่า "ชีวิตก็คือ งาน เงิน เกียรติยศ ชื่่อเสียง ทรัพย์สมบัติ"  บ้างก็ว่า ชีวิตคือ "กิน กาม เกียรติ"  หรือบางท่านก็บอกว่า "อะไรก็ได้ ขอให้มีเงินใช้ มีอาหารกิน  มีที่อยู่อาศัยและมีความสุขก็ คือ ชีวิต" จะตอบอย่างไรก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละท่าน ถูกทั้งหมดนั่นแหละ...เพราะเหตุว่าทุกอย่างเป็น "ธรรมะ" เป็นนามธรรมและความคิดของแต่ละท่านก็เป็นธรรมะ  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "สัพเพธัมมา สังขารา" แปลว่า สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นธรรมะ 

ธรรมะคืออะไร...ธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงสอนอะไร...ท่านทรงสอนสิ่งที่มีจริง  ซึ่งเราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองเดี๋ยวนี้ขณะนี้  ความจริงที่ท่านนำมาสอนเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ก็คือ เรื่องเกี่ยวกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และ เรื่องสี เสียง กลิ่น รส กระทบสัมผัสทางกาย (เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว) และความนึกคิด ทั้งหมดนี้คือ "โลกทั้ง ๖"

ในชีวิตประจำวัน  เรามีความเกี่ยวข้องกับธรรมะหรือโลกทั้ง ๖ ทุกขณะจิต คือ มีโลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกายและโลกทางใจ ไม่มีใครที่มีมากหรือน้อยไปกว่านี้ ทางตาก็เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏ  ทางหูรู้เสียงต่าง ๆ ที่มาปรากฏ  ทางจมูกรู้กลิ่นต่าง ๆ ที่มาปรากฏ ทางลิ้นรู้รสต่าง ๆ ที่มาปรากฏ  ทางกายกระทบสัมผัสรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง  ตึง ไหว และทางใจรู้ความนึกคิดที่มาปรากฏ นี่คือ ความจริงที่รู้ได้ในขณะนี้

สิ่งที่ทำหน้าที่รู้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "จิต" หรือ "วิญญาณ" ทำหน้าที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง  รู้ว่าเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่มาปรากฏ และสิ่งต่าง ๆ ที่มาปรากฏให้จิตรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจนั้น  เรียกว่า "อารมณ์" เมื่อจิตเกิดขึ้นจะต้องมีอารมณ์ให้จิตรู้เสมอ  อารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย  นี้เรียกว่า "รูปธรรม"  เป็นสภาพธรรมะที่ไม่รู้อะไรเลย

เมื่อได้เข้าใจเรื่องโลกทั้ง ๖ แล้ว..ว่ามีอะไรบ้าง  และเรื่องจิตกับสิ่งที่มาให้จิตรู้ ซึ่งสรุปเรียกว่า "รูปธรรม" กับ "นามธรรม" เป็นของจริงแท้ที่มีให้รู้ได้ด้วยสติสัมปชัญญะ  ซึ่งเป็นพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้   เราอยู่กับโลกแต่ไม่เคยรู้จักโลกเลย ก็คือไม่เคยรู้จัก "พระธรรม"  ก็หมายถึงว่ายังอยู่ในความมืดอยู่  ยังไม่มีที่พึ่งที่มั่นคงปลอดภัยสำหรับชีวิต  เมื่อเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแต่ไม่รู้เรื่อง  "พระธรรม" เลย...ก็น่าเสียดายเวลาของความเป็นมนุษย์ในชาตินี้  เพราะเหตุว่าการเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก

สำหรับวันนี้ก็จะขอยุติไว้เพียงแค่นี้ก่อน...ไว้ติดตามตอนต่อไปนะคะ....หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และอโหสิกรรมจากท่านผู้อ่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย  และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ