หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ชีวิตคืออะไร




  
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

ชีวิต  คือสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว  เพราะเหตุว่า "อวิชชา" (ความไม่รู้) ปิดบังจึงทำให้เราไม่สามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้....สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วดับ  จึงไม่เที่ยง ภาษาบาลีเรียกว่า "อนิจจัง"  ความไม่เที่ยงของสภาพธรรมทั้งหลาย เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ.....สภาพธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใด  เพราะว่าไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา ภาษาบาลีเรียกว่า "อนัตตา" 

ชีวิต ไม่เที่ยงเป็นเพียงชีวิตชั่วคราวและสั้นมาก  เพราะเหตุว่ามีการเกิดดับสืบต่อเร็วมาก  ด้วยเหตุว่าเราไม่รู้ตามความเป็นจริง คิดว่าชีวิตนี้ยืนยาวนาน  จึงมีการติดข้องในสภาพธรรมทุกอย่าง ที่ปรากฏขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น  ทางกายและทางใจ....มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ติดข้องไม่ได้คือ "นิพพาน" แต่ถ้ายังไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้  ก็ไม่สามารถที่จะรู้จักนิพพานได้เลย

เราเกิดมาก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย และนอกจากนั้นยังมีความติดข้อง (โลภะ) ตามมาด้วยทุกภพทุกชาติ เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) จึงติดข้องต้องการ ยินดีพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์  และยึดถือว่าสิ่งนั้น ๆ  ยังคงมีอยู่  ซึ่งที่จริงดับไปนานแล้ว....ดังนั้นจึงต้องอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะละความไม่รู้ (อวิชชา) ออกไปทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับของปัญญาแต่ละขั้น  เริ่มด้วยการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นปัญญาขั้นต้น

สำหรับบทความนี้  หากมีความผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

รูปธรรมและนามธรรมหมายถึงอะไร






  
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ....ท่านผู้ใจบุญทุกท่าน



ท่านมีความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงหรือยัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริงในสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ภาษาบาลีว่า "สัพเพ ธัมมา"  พระองค์ทรงแสดงพระธรรมในเรื่องของสิ่งที่มีจริงตลอดเวลา ๔๕ พรรษา เพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกทั้งหลาย

คำว่า "ธรรมะ" หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างเป็นธรรมะ แต่ว่าเราไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าทุกอย่างอยู่ในตัวของเราและในโลกเป็นธรรมะ เพราะเหตุว่ามีอวิชชา (ความไม่รู้)ปิดบัง จึงไม่สามารถรู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม  แต่ถ้าเราเริ่มศึกษาก็จะเริ่มเข้าใจขึ้นว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ทั้งหมดก็คือขณะที่กำลังปรากฏขณะนี้.....

ธรรมะหรือสิ่งที่มีจริงในโลกนี้  พระองค์ได้ทรงจำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะต่างกันคือ นามธรรมกับรูปธรรม....สิ่งที่มีจริงไม่จำเป็นต้องมองเห็น เช่น เสียงมีจริง แต่เสียงไม่สามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้  เสียงไม่คิด  เสียงไม่รู้กลิ่น เสียงไม่รู้รส เสียงไม่สุข เสียงไม่ทุกข์ เสียงไม่คิด เสียงไม่สามารถรู้อะไรทั้งสิ้น  เสียงจะปรากฏได้เมื่อมีของแข็งกระทบกัน ทำให้สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ "เสียง" และเสียงปรากฏได้เมื่อบุคคลนั้นมีโสตปสาท (หู) จึงสามารถได้ยิน (รู้) เสียง....นอกจากเสียงแล้วก็ยังมีอีกมากมายที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่สามารถรู้อะไรเลย เช่น สี กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึง เหล่านี้เป็นรูปธรรมทั้งหมด.....

สภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งเป็น สภาพรู้หรือธาตุรู้ (จิต) เรียกว่า "นามธรรม" เกิดขึ้นเมื่อใด จะต้องมีสิ่งที่ถูกรู้เสมอ เช่น เมื่อเห็น (จักขุวิญญาณ) เกิดก็จะต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น (รูปารมณ์)ปรากฏ......เมื่อได้ยิน (โสตวิญญาณ)เกิดขึ้น ก็จะต้องมีเสียง (สัทธารมณ์)ปรากฏ......เมื่อได้กลิ่น (ฆานวิญญาณ)เกิดขึ้นก็จะต้องมีกลิ่น (คันธารมณ์)ปรากฏ......เมื่อลิ้มรส (ชิวหาวิญญาณ) เกิดขึ้น ก็จะต้องมีรส (รสารมณ์) ปรากฏ...... เมื่อรู้ (กายวิญญาณ)กระทบสัมผัสทางกาย เกิดขึ้น ก็จะต้องมีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึง (โผฏฐัพพารมณ์) ปรากฏ....... เมื่อรู้ความคิดนึก (มโนวิญญาณ)เกิดขึ้น ก็จะต้องมีเรื่องราว(ธรรมารมณ์)ปรากฏ

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ธาตุรู้หรือจิต เป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏให้รู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ....ดังนั้นจึงพอที่จะแยกสภาพธรรม ๒ อย่างนี้ได้ เช่น เสียงไม่ใช่สภาพที่ได้ยิน....กลิ่นไม่ใช่สภาพได้กลิ่น...รสไม่ใช่สภาพรู้รส ....เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา......เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึงไม่ใช่สภาพรู้  แต่มีจริงเมื่อมีการกระทบสัมผัสทางกาย ซึ่งสามารถรู้ได้ด้วยธาตุรู้คือนามธรรม

สำหรับบทความนี้หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านด้วยค่ะ

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

มีที่พึ่งแล้วหรือยัง

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีปีใหม่ค่ะ....ท่านผู้สนใจในพระธรรมทุกท่าน




หนึ่งปีผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ถ้าหากเราปล่อยใจให้มัวเพลิดเพลินยินดีพอใจ ติดข้องต้องการอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และความนึกคิดทางใจผ่านไปแต่ละปี ๆ โดยที่ไม่มีที่พึ่งที่ยึดที่ถูกต้องเลย ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อการสะสมสิ่งไร้ค่า หาสาระมิได้.....แล้วท่านล่ะ มีที่พึ่งที่ประเสริฐแล้วหรือยัง !

อันวิชาความรู้แขนงต่าง ๆ มากมายที่เราร่ำเรียนกันในทางโลก  ซึ่งคิดว่าเป็นความรู้ที่ทำให้เป็นคนเก่งคนฉลาด เป็นที่ยอมรับในสังคม พากันขนขวายมุ่งที่จะร่ำเรียน เพื่อให้ตนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถมาก ๆ และเป็นที่ยอมรับ นับตั้งแต่สังคมในครอบครัว จนกระทั่งสังคมระดับประเทศ ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือเป็นที่ยอมรับระดับโลก.....อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเก่งมากมายขนาดไหน ถ้าหากว่าวิชาความรู้นั้น ไม่ใช่การรู้ตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ไม่รู้เรื่องของตัวเอง ไม่รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กายและใจแล้ว ก็เรียกว่า ยังเป็นผู้ขาดที่พึ่งที่แท้จริงอยู่ดี

การศึกษาเรื่องตัวเอง, เรื่องขันธ์ ๕, เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กายและใจนี้ เป็นความรู้ที่ละเอียดลึกซึ้้งมาก  การรู้เรื่องตนเองอย่างถ่องแท้ ก็จะทำให้เราสามารถรู้จักคนอื่นได้อย่างถ่องแท้เช่นกัน เพราะเหตุว่าทุกคนก็มีขันธ์ ๕ เหมือนกัน มีจิตเห็น มีจิตได้ยิน มีจิตลิ้มรส มีจิตรู้กลิ่น มีจิตรู้กระทบสัมผัสทางกาย รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้แข็ง รู้ตึง รู้ไหว และจิตรู้ความนึกคิด..... แต่ว่าเราไม่ทราบความแตกต่างของลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ดังเช่น  "เห็น" ทุกคนมีเห็นเหมือนกัน  เห็นต่างกับได้ยิน  เพราะเห็นเป็นจิตที่เกิดทางตา ทำกิจรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตาเท่านั้น..... ส่วนได้ยินเป็นจิตที่เกิดทางหู ทำกิจรู้เฉพาะเสียงเท่านั้น  นอกจากนั้น "เห็น"ของแต่ละคนยังต่างกันอีกด้วย  บางคนได้เห็นสิ่งที่ดีที่สวยงาม  แต่บางคนได้เห็นสิ่งที่น่าเกลียด ก็เพราะเหตุว่าแต่ละคน ได้กระทำกรรมมาแตกต่างกัน จึงมีวิบากหรือผลของกรรมต่างกันไปตามเหตุปัจจัย......หลังจากที่ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ได้ลิ้มรสแล้ว จิตก็จะเป็นกุศลบ้างหรือเป็นอกุศลบ้าง

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า วิชาความรู้ทั้งหลาย ที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมากันอย่างมากมายเป็นเวลาหลายปีนั้น  ถ้าไม่ใช่การรู้ตามความจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ  ความรู้นั้นก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นที่พึงแก่เราได้.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจจ์ ๔) ทรงประจักษ์แจ้งโลกและสิ่งที่อยู่เหนือโลกตามความเป็นจริง....พระธรรมที่พระองค์ได้แสดงไว้ดีแล้ว เป็นเวลา ๔๕ พรรษา ถ้าท่านผู้ใดไม่มีความศรัทธาที่จะน้อมจิตเชื่อในพระธรรมของพระองค์  เพราะเหตุว่าไม่เห็นคุณค่าและประโยชน์ของพระธรรมจริง ๆ  ท่านผู้นั้นก็จะไม่สามารถ  ที่จะมีพระธรรมเป็นที่พึงอันประเสริฐได้เลย....การที่จะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดหรือท่องบริกรรมทุกเช้าค่ำแต่คำว่า  "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ" เท่านั้น.....

การปฏิบัติที่ถูกต้องก็คือ ควรเริ่มต้นด้วยการน้อมจิตศรัทธา ในการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอย่างละเอียดเพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกทั้งหลาย  เพราะเหตุว่าแต่ละคน มีระดับปัญญาแตกต่างกัน มีการสะสมอุปนิสัยและเหตุปัจจัยมาต่างกัน  บางคนฟังพระธรรมสั้น ๆ  เพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าใจได้  ด้วยเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เพื่อที่จะละความไม่รู้ (อวิชชา) ก็สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ได้....ทุกคนหนีไม่พ้นความตาย ทุกคนจะต้องประสบกับความสุขบ้าง ประสบกับความทุกข์บ้าง  แล้วทุกคนก็จะต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนโลกนี้ จากโลกนี้ไปพร้อมกับความไม่รู้ (อวิชชา) และความติดข้อง (โลภะ) จะจากไปพร้อมกับความโง่ !  หรือควรจะสะสมวิชชา (ความรู้) ปัญญาอันเป็นแสงสว่างแก่ชีวิต และเป็นเครื่องประหารกิเลส....ดังนั้นจึงควรอยู่อย่างมีพระธรรม  เป็นที่พึ่งอันประเสริฐและจากโลกไปพร้อมกับพระธรรม  !!

บทความนี้หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย.......ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านด้วย

                                          
                                              .....................................