ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีปีใหม่ค่ะ....ท่านผู้สนใจในพระธรรมทุกท่าน
หนึ่งปีผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ถ้าหากเราปล่อยใจให้มัวเพลิดเพลินยินดีพอใจ ติดข้องต้องการอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และความนึกคิดทางใจผ่านไปแต่ละปี ๆ โดยที่ไม่มีที่พึ่งที่ยึดที่ถูกต้องเลย ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อการสะสมสิ่งไร้ค่า หาสาระมิได้.....แล้วท่านล่ะ มีที่พึ่งที่ประเสริฐแล้วหรือยัง !
อันวิชาความรู้แขนงต่าง ๆ มากมายที่เราร่ำเรียนกันในทางโลก ซึ่งคิดว่าเป็นความรู้ที่ทำให้เป็นคนเก่งคนฉลาด เป็นที่ยอมรับในสังคม พากันขนขวายมุ่งที่จะร่ำเรียน เพื่อให้ตนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถมาก ๆ และเป็นที่ยอมรับ นับตั้งแต่สังคมในครอบครัว จนกระทั่งสังคมระดับประเทศ ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือเป็นที่ยอมรับระดับโลก.....อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเก่งมากมายขนาดไหน ถ้าหากว่าวิชาความรู้นั้น ไม่ใช่การรู้ตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ไม่รู้เรื่องของตัวเอง ไม่รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กายและใจแล้ว ก็เรียกว่า ยังเป็นผู้ขาดที่พึ่งที่แท้จริงอยู่ดี
การศึกษาเรื่องตัวเอง, เรื่องขันธ์ ๕, เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กายและใจนี้ เป็นความรู้ที่ละเอียดลึกซึ้้งมาก การรู้เรื่องตนเองอย่างถ่องแท้ ก็จะทำให้เราสามารถรู้จักคนอื่นได้อย่างถ่องแท้เช่นกัน เพราะเหตุว่าทุกคนก็มีขันธ์ ๕ เหมือนกัน มีจิตเห็น มีจิตได้ยิน มีจิตลิ้มรส มีจิตรู้กลิ่น มีจิตรู้กระทบสัมผัสทางกาย รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้แข็ง รู้ตึง รู้ไหว และจิตรู้ความนึกคิด..... แต่ว่าเราไม่ทราบความแตกต่างของลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ดังเช่น "เห็น" ทุกคนมีเห็นเหมือนกัน เห็นต่างกับได้ยิน เพราะเห็นเป็นจิตที่เกิดทางตา ทำกิจรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตาเท่านั้น..... ส่วนได้ยินเป็นจิตที่เกิดทางหู ทำกิจรู้เฉพาะเสียงเท่านั้น นอกจากนั้น "เห็น"ของแต่ละคนยังต่างกันอีกด้วย บางคนได้เห็นสิ่งที่ดีที่สวยงาม แต่บางคนได้เห็นสิ่งที่น่าเกลียด ก็เพราะเหตุว่าแต่ละคน ได้กระทำกรรมมาแตกต่างกัน จึงมีวิบากหรือผลของกรรมต่างกันไปตามเหตุปัจจัย......หลังจากที่ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ได้ลิ้มรสแล้ว จิตก็จะเป็นกุศลบ้างหรือเป็นอกุศลบ้าง
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า วิชาความรู้ทั้งหลาย ที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมากันอย่างมากมายเป็นเวลาหลายปีนั้น ถ้าไม่ใช่การรู้ตามความจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ความรู้นั้นก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นที่พึงแก่เราได้.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจจ์ ๔) ทรงประจักษ์แจ้งโลกและสิ่งที่อยู่เหนือโลกตามความเป็นจริง....พระธรรมที่พระองค์ได้แสดงไว้ดีแล้ว เป็นเวลา ๔๕ พรรษา ถ้าท่านผู้ใดไม่มีความศรัทธาที่จะน้อมจิตเชื่อในพระธรรมของพระองค์ เพราะเหตุว่าไม่เห็นคุณค่าและประโยชน์ของพระธรรมจริง ๆ ท่านผู้นั้นก็จะไม่สามารถ ที่จะมีพระธรรมเป็นที่พึงอันประเสริฐได้เลย....การที่จะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดหรือท่องบริกรรมทุกเช้าค่ำแต่คำว่า "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ" เท่านั้น.....
การปฏิบัติที่ถูกต้องก็คือ ควรเริ่มต้นด้วยการน้อมจิตศรัทธา ในการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอย่างละเอียดเพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกทั้งหลาย เพราะเหตุว่าแต่ละคน มีระดับปัญญาแตกต่างกัน มีการสะสมอุปนิสัยและเหตุปัจจัยมาต่างกัน บางคนฟังพระธรรมสั้น ๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าใจได้ ด้วยเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เพื่อที่จะละความไม่รู้ (อวิชชา) ก็สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ได้....ทุกคนหนีไม่พ้นความตาย ทุกคนจะต้องประสบกับความสุขบ้าง ประสบกับความทุกข์บ้าง แล้วทุกคนก็จะต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนโลกนี้ จากโลกนี้ไปพร้อมกับความไม่รู้ (อวิชชา) และความติดข้อง (โลภะ) จะจากไปพร้อมกับความโง่ ! หรือควรจะสะสมวิชชา (ความรู้) ปัญญาอันเป็นแสงสว่างแก่ชีวิต และเป็นเครื่องประหารกิเลส....ดังนั้นจึงควรอยู่อย่างมีพระธรรม เป็นที่พึ่งอันประเสริฐและจากโลกไปพร้อมกับพระธรรม !!
บทความนี้หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย.......ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านด้วย
.....................................
สวัสดีปีใหม่ค่ะ....ท่านผู้สนใจในพระธรรมทุกท่าน
หนึ่งปีผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ถ้าหากเราปล่อยใจให้มัวเพลิดเพลินยินดีพอใจ ติดข้องต้องการอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และความนึกคิดทางใจผ่านไปแต่ละปี ๆ โดยที่ไม่มีที่พึ่งที่ยึดที่ถูกต้องเลย ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อการสะสมสิ่งไร้ค่า หาสาระมิได้.....แล้วท่านล่ะ มีที่พึ่งที่ประเสริฐแล้วหรือยัง !
อันวิชาความรู้แขนงต่าง ๆ มากมายที่เราร่ำเรียนกันในทางโลก ซึ่งคิดว่าเป็นความรู้ที่ทำให้เป็นคนเก่งคนฉลาด เป็นที่ยอมรับในสังคม พากันขนขวายมุ่งที่จะร่ำเรียน เพื่อให้ตนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถมาก ๆ และเป็นที่ยอมรับ นับตั้งแต่สังคมในครอบครัว จนกระทั่งสังคมระดับประเทศ ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือเป็นที่ยอมรับระดับโลก.....อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเก่งมากมายขนาดไหน ถ้าหากว่าวิชาความรู้นั้น ไม่ใช่การรู้ตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ไม่รู้เรื่องของตัวเอง ไม่รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กายและใจแล้ว ก็เรียกว่า ยังเป็นผู้ขาดที่พึ่งที่แท้จริงอยู่ดี
การศึกษาเรื่องตัวเอง, เรื่องขันธ์ ๕, เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กายและใจนี้ เป็นความรู้ที่ละเอียดลึกซึ้้งมาก การรู้เรื่องตนเองอย่างถ่องแท้ ก็จะทำให้เราสามารถรู้จักคนอื่นได้อย่างถ่องแท้เช่นกัน เพราะเหตุว่าทุกคนก็มีขันธ์ ๕ เหมือนกัน มีจิตเห็น มีจิตได้ยิน มีจิตลิ้มรส มีจิตรู้กลิ่น มีจิตรู้กระทบสัมผัสทางกาย รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้แข็ง รู้ตึง รู้ไหว และจิตรู้ความนึกคิด..... แต่ว่าเราไม่ทราบความแตกต่างของลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ดังเช่น "เห็น" ทุกคนมีเห็นเหมือนกัน เห็นต่างกับได้ยิน เพราะเห็นเป็นจิตที่เกิดทางตา ทำกิจรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตาเท่านั้น..... ส่วนได้ยินเป็นจิตที่เกิดทางหู ทำกิจรู้เฉพาะเสียงเท่านั้น นอกจากนั้น "เห็น"ของแต่ละคนยังต่างกันอีกด้วย บางคนได้เห็นสิ่งที่ดีที่สวยงาม แต่บางคนได้เห็นสิ่งที่น่าเกลียด ก็เพราะเหตุว่าแต่ละคน ได้กระทำกรรมมาแตกต่างกัน จึงมีวิบากหรือผลของกรรมต่างกันไปตามเหตุปัจจัย......หลังจากที่ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ได้ลิ้มรสแล้ว จิตก็จะเป็นกุศลบ้างหรือเป็นอกุศลบ้าง
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า วิชาความรู้ทั้งหลาย ที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมากันอย่างมากมายเป็นเวลาหลายปีนั้น ถ้าไม่ใช่การรู้ตามความจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ความรู้นั้นก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นที่พึงแก่เราได้.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจจ์ ๔) ทรงประจักษ์แจ้งโลกและสิ่งที่อยู่เหนือโลกตามความเป็นจริง....พระธรรมที่พระองค์ได้แสดงไว้ดีแล้ว เป็นเวลา ๔๕ พรรษา ถ้าท่านผู้ใดไม่มีความศรัทธาที่จะน้อมจิตเชื่อในพระธรรมของพระองค์ เพราะเหตุว่าไม่เห็นคุณค่าและประโยชน์ของพระธรรมจริง ๆ ท่านผู้นั้นก็จะไม่สามารถ ที่จะมีพระธรรมเป็นที่พึงอันประเสริฐได้เลย....การที่จะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดหรือท่องบริกรรมทุกเช้าค่ำแต่คำว่า "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ" เท่านั้น.....
การปฏิบัติที่ถูกต้องก็คือ ควรเริ่มต้นด้วยการน้อมจิตศรัทธา ในการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอย่างละเอียดเพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกทั้งหลาย เพราะเหตุว่าแต่ละคน มีระดับปัญญาแตกต่างกัน มีการสะสมอุปนิสัยและเหตุปัจจัยมาต่างกัน บางคนฟังพระธรรมสั้น ๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าใจได้ ด้วยเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เพื่อที่จะละความไม่รู้ (อวิชชา) ก็สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ได้....ทุกคนหนีไม่พ้นความตาย ทุกคนจะต้องประสบกับความสุขบ้าง ประสบกับความทุกข์บ้าง แล้วทุกคนก็จะต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนโลกนี้ จากโลกนี้ไปพร้อมกับความไม่รู้ (อวิชชา) และความติดข้อง (โลภะ) จะจากไปพร้อมกับความโง่ ! หรือควรจะสะสมวิชชา (ความรู้) ปัญญาอันเป็นแสงสว่างแก่ชีวิต และเป็นเครื่องประหารกิเลส....ดังนั้นจึงควรอยู่อย่างมีพระธรรม เป็นที่พึ่งอันประเสริฐและจากโลกไปพร้อมกับพระธรรม !!
บทความนี้หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย.......ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านด้วย
.....................................