หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ท่องเที่ยวไปในโลกทั้ง ๖





 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ศรัทธาในธรรมทุกท่าน

ชีวิตในแต่ละวันไม่พ้นไปจากโลกทั้ง ๖ จิตแต่ละขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สืบต่อวนเวียนท่องเที่ยวอยู่ ๖ ทาง ท่องเที่ยวเพราะเหตุว่าจิตไม่ได้เกิดอยู่ที่เดียว จิตก็ไม่ได้รู้อารมณ์เดียวเท่านั้น เมื่อมีปัจจัยที่จะให้จิตเกิด จิตก็เกิดขึ้น เช่น เมื่อมีปัจจัยที่จะให้จิตเห็นเกิดขึ้น จิตเห็นก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วก็ดับไป

เมื่อมีปัจจัยที่จะให้เสียงเกิด จิตได้ยินก็เกิดขึ้นได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นสำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ในกามาวจรภูมิ จิตก็จะวนเวียนไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ หมุนไปเรื่อย ๆ นี่ก็เป็นเรื่องของจิตที่รู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖  ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นก็ไม่มีอะไรทั้งหมด  กิเลสวัฏก็ไม่มี กรรมวัฏก็ไม่มี  วิปากวัฏก็ไม่มี แต่เพราะเหตุว่ามีจิตเกิดขึ้น เมื่อจิตเกิดขึ้นแต่ละขณะ ต้องมีอารมณ์ให้จิตรู้  เมื่อจิตเกิดแล้วก็มีกิเลสซึ่งทำให้เกิดกรรม......กรรมก็เป็นเหตุให้เกิดวิบากจิต  เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าจิตเกิดดับสืบต่อท่องเที่ยวอยู่ในโลกทั้ง ๖ นี้อย่างไม่ขาดสาย  และยังจะสืบต่อไปในภพหน้าชาติหน้าอีกไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทประหาร ก็ต้องกลับมาสู่โลกนี่อีก แล้วแต่เหตุปัจจัย

สำหรับบทความนี้หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านด้วยค่ะ

                                              ......................................

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปัญญาเกิดได้อย่างไร






ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่าน


ก่อนที่จะทราบว่าปัญญาเกิดได้อย่างไรนั้น ก็จะต้องรู้ก่อนว่าปัญญามีลักษณะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ จึงจะเป็นปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา....ที่กำลังเห็น กำลังได้ยินขณะนี้ ไม่ใช่เรา เป็นเพียงจิตแต่ละประเภทเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย เช่น เห็นเดี๋ยวนี้เพราะมีสีปรากฏทางตาเป็นปัจจัย ได้ยินเดี๋ยวนี้เพราะมีเสียงปรากฏทางหูเป็นปัจจัย

เมื่อมีจักขุปสาทและมีสิ่งที่ปรากฏกระทบตา มีการเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะเหตุว่าจิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างกันว่า คนหนึ่งจะมีจิตซ้อนกัน ๒-๓ ขณะไม่ได้เลย....ชีวิตดำรงอยู่แต่ละคนเพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น  ขณะที่เห็นนี่เป็นอนัตตา ไม่ใช่เราเห็น "เห็น" เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ขณะได้ยินก็เป็นอนัตตา เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการฟัง ฟังจนกระทั้งสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติมีการระลึกได้ในขณะเห็นในขณะนี้ตามความเป็นจริง มิฉะนั้นก็จะมีแต่สมาธิ แล้วก็ไม่รู้ว่าปัญญานั้นรู้อะไร

ก่อนอื่นก็จะต้องเริ่มจากความเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง....ปัญญาสามารถที่จะรู้ชีวิตประจำวันทุกขณะ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส คิดนึก ปัญญาต้องระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปรกติตามความเป็นจริง และต้องรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตนเป็นเพียงธาตุ เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุว่าการเกิดดับรวดเร็ว จึงไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดกับได้ จึงมีการจดจำสิ่งที่ปรากฏเหมือนว่าไม่ดับ จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นปัญญาที่สามารถประหารกิเลสได้ ต้องประจักษ์ความจริงของโลก คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แล้วดับไปในขณะนี้ นั่นจึงจะเป็นปัญญาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเริ่มจากปัญญาขั้นต้นด้วยการฟังธรรม อบรมเจริญให้ยิ่ง ๆ ขึ้น

สำหรับบทความนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านด้วยค่ะ

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันวิสาขบูชา ปี ๒๕๕๕





 



 


ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน


พุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้
วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสูติ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖  เมื่อก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี  เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ได้เสด็จออกบรรพชาเพื่อแสวงหาสัจธรรม และพระองค์ได้ตรัสรู้ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖  ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา  และได้ทรงเผยแผ่พระธรรม ที่พระองค์ตรัสรู้แก่เหล่าเทพ, เทวดาและมนุษย์ เป็นเวลาทั้งหมด ๔๕ ปี จนกระทั่งพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖  ฉะนั้นเมื่อเข้าปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ (+๔๕) เท่ากับว่าพระองค์ได้ตรัสมาแล้ว ๒,๖๐๐ ปี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "๒๖ สัมพุทธศตวรรษ ศรีสัมพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า"

ในวันเพ็ญเดือน ๖ จึงเป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งทางพระพุทธศาสนา คือเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า "วันวิสาขบูชา" ในปีนี้ก็ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นวันสำคัญของชาวพุทธวันหนึ่ง ที่จะได้บำเพ็ญกุศลเพื่อเป็นพุทธบูชามหาบารมี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระองค์ และเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ดำรงยังยืนนาน คู่ประเทศชาติสืบต่อไป

ในปี ๒๕๕๕ นี้ วันวิสาขบูชาตรงกับวัน จันทร์ที่ ๔ มิถุนายน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง ปีนี้ตามปฏิทินจันทรคติเป็นปีอธิกมาศ (เดือนแปดสองหน) ดังนั้นวันสำคัญทางศาสนาจึงเลื่อนไป ๑ เดือน

สำหรับบทความนี้หากมีข้อความใดปิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ


วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รอดจากภัยใหญ่ได้อย่างไร





ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

ภัยใหญ่ที่รอดได้ยากก็คือ อกุศล จะรอดจากอกุศลที่ท่วมล้นใจในแต่ละวันได้อย่างไร ทางที่จะรอดได้นั้นไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา หรือความเป็นตัวตน.....ตั้งแต่ตื่นเช้ามา เคยคิดบ้างไหมว่า จะรอดพ้นจากอกุศลและกิเลสอันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต  สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม และไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็จะไม่คิดที่จะฟังพระธรรม เพื่อขัดเกลากิเลสที่เศร้าหมอง ไม่คิดที่จะกระทำกรรมดีให้มากขึ้น จนสามารถรอดพ้นจากภัยใหญ่ได้....คนที่ไม่ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เหมือนคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกมืดสนิท เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย เพียงแค่ตาเห็น หลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยความคิดสารพัด เป็นเรื่องของกุศลบ้างและอกุศลบ้าง ส่วนใหญ่แล้วก็จะคิดเรื่องอกุศล ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นภัยใหญ่ของชีวิต

สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังธรรม และพิจารณาธรรมอยู่เนื่อง ๆ  ก็จะเริ่มรู้ถึงภัยใหญ่ของชีวิตว่าเป็นอย่างไร อกุศลและกิเลสมีมาน้อยแค่ไหนตั้งแต่เช้ามา กิเลสและอกุศลซึ่งเกิดทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายและทางใจบ้าง แล้วจะรอดจากภัยใหญ่นี้ได้อย่างไร....ทางที่จะรอดจากภัยใหญ่ก็คือ เริ่มด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งมีหนทางเดียว ขณะที่ฟังเข้าใจก็เป็นกุศล  และเป็นเหตุปัจจัยนำมาซึ่งกุศลอื่น ๆ ซึ่งเกิดเพราะความเห็นถูก (สัมมาทิฎฐิ) ความเข้าใจถูก  ถ้าคิดถึงภัยใหญ่ของสังสารวัฎฎ์ เหมือนคนจมอยู่ในห้วงน้ำ คืออกุศล และทางที่จะพ้นจากน้ำหรืออกุศล หรือพ้นจากสังสารวัฎฎ์จะมีไหม และจะต้องอบรมเจริญกุศลอย่างไร ด้วยความเพียรและความอดทนอย่างไร

ดังนั้นผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม จึงต้องฟังพระธรรมด้วยความเป็นผู้ตรง ไม่หวังในการประจักษ์แจ้งหรือความเป็นพระอริยบุคคล ไม่หวังและไม่รอในผลใด ๆ  ในขณะที่กำลังฟังธรรม ก็มีธรรมปรากฏ แล้วเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏแค่ไหน ต้องอาศัยความเพียรและความอดทน ฟังแล้วฟังอีกซ้ำ ๆ จนเป็นความเข้าใจ (ปัญญา) เพิ่มขึ้นและมั่นคง เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วก็ดับไป ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล บังคับบัญชาไม่ได้

สำหรับบทความนี้ หากมีข้อความผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ