หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่อง "ศรัทธา"




ขอนอมน้อมต่อพระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีความศรัทธาในธรรมะทุกท่าน

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "ศรัทธา" กันนะคะ...ตลอดชีวิตของเรานี้ ก็คืือธรรมะทั้งหมด เราไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนเลย  "ธรรมะ" ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ซึ่งสามารถรู้ได้ตามความเป็นจริงในขณะนี้  แต่เราไม่สามารถรู้และบอกได้ตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่ายังมี "ความไม่รู้" (อวิชชา) ห่อหุ้มจิตอยู่  ดังนั้นก็ต้องอาศัย การฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงความจริงของธรรมะ เพื่อให้ฟังจนเกิด "ความศรัทธา" รู้จักคุณค่า รู้ประโยชน์ของการฟัง และการเข้าใจพระธรรม อันเป็นเหตุปัจจัยให้สามารถเห็นพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

"ศรัทธา" เป็นนามธรรม เป็นโสภณธรรม (ธรรมะฝ่ายดี) เป็น "เจตสิก" เกิดร่วมกับจิตดับพร้อมกับจิตและมีอารมณ์เดียวกับจิต  ศรัทธา...คือความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย กรรม ผลของกรรม (วิบากกรรม)
ความเชื่อในพระธรรม ในกุศล (ความดี) ซึ่งปรุงแต่งจิตเจตสิก ให้ผ่องใสสะอาด  ศรัทธา...ข่มนิวรณ์ (เครื่องกั้นการทำความดี) ระงับกิเลสได้และทำจิตให้ผ่องใสสะอาด

ตัวอย่างของศรัทธา เช่น ขณะมีการให้ทานแก่บุคคลอื่น จะเป็นบิดามารดา ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท หรือบุคคลแปลกหน้าก็ตาม ขณะนั้นผู้ให้มีจิตไม่คิดอกุศลต่อผู้รับ เห็นแก่ประโยชน์สุขของผู้รับ ไม่เห็นแก่ตัวและไม่่ติดข้องเสียดายของที่ให้ มีเมตตา กรุณาต่อผู้รับ ขณะนั้นจิตมี "ศรัทธาเจตสิก" เกิดร่วมด้วย จิตจึงมีสภาพผ่องใสสะอาด

"ศรัทธา" จะเจริญขึ้นได้ จนเป็นศรัทธาระดับเป็นใหญ่เป็นอินทรีย์ ซึ่งเรียกว่า "สัทธินทรีย์" นั้น ต้องรู้ลักษณะธรรมตามความเป็นจริง เพราะมีการกระทบสัมผัสตลอดทั้งวัน ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ มีความเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายที่มาปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ขณะนั้นจิตผ่องใสจากความไม่รู้  ศรัทธา...มีตั้งแต่ระดับขั้นทาน จนถึงขั้นสูงสุด จิตผ่องใสอย่างยิ่ง เป็น "โลกุตตรศรัทธา" คือไม่มีความสงสัยในคุณพระรัตนตรัย จนถึงความหมดสิ้นสังสารวัฎฎ์

ศรัทธา...เป็นเพื่อนสอง ขณะมีการฟังธรรม ขณะนั้นศรัทธาเจตสิกเกิดร่วมกับจิต เป็นเหตุปัจจัยให้จิตมีสภาพผ่องใสสะอาด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ด้วยศรัทธา เพราะเป็นผลของ "กามาวจรกุศล" หรือเรียกอีกอย่างว่า "มหากุศล" คือกุศลที่เกิดจากการกระทำ ที่เป็นไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ  ที่ว่าศรัทธาเป็นเพื่อนสอง เพราะเหตุว่าเกิดร่วมกับจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศล ขณะใดศรัทธาไม่เกิด  ขณะนั้น "โลภะ" ก็จะเป็นเพื่อนสองแทน มาคอยกระซิบให้ทำอกุศล ทำให้จิตเศร้าหมองเป็นทุกข์  ส่วน "ศรัทธา" จะเกิดขณะไหนนั้น เราไม่สามารถทราบได้ เพราะเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและละเอียด

ฉะนั้นเราจึงควรหมั่นฟังพระธรรม เพื่อสะสมความเข้าใจและเพื่อละความไม่รู้ หลงยึดติดข้องในธรรมะทั้งหลายว่าเป็น "เรา" เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเหตุว่ามี "เรา" เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า " ขันธ์ ๕" เป็นทุกข์ ยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเราก็เลยต้องทุกข์...สำหรับบทความวันนี้ก็จบไว้แค่นี้ก่อน แล้วพบกันอีกในวันต่อไปจ๊ะ

หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด อันเกิดจากความด้อยปัญญาของผู้เขียน ขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย