ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่าน
ก่อนที่จะทราบว่าปัญญาเกิดได้อย่างไรนั้น ก็จะต้องรู้ก่อนว่าปัญญามีลักษณะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ จึงจะเป็นปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา....ที่กำลังเห็น กำลังได้ยินขณะนี้ ไม่ใช่เรา เป็นเพียงจิตแต่ละประเภทเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย เช่น เห็นเดี๋ยวนี้เพราะมีสีปรากฏทางตาเป็นปัจจัย ได้ยินเดี๋ยวนี้เพราะมีเสียงปรากฏทางหูเป็นปัจจัย
เมื่อมีจักขุปสาทและมีสิ่งที่ปรากฏกระทบตา มีการเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะเหตุว่าจิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างกันว่า คนหนึ่งจะมีจิตซ้อนกัน ๒-๓ ขณะไม่ได้เลย....ชีวิตดำรงอยู่แต่ละคนเพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น ขณะที่เห็นนี่เป็นอนัตตา ไม่ใช่เราเห็น "เห็น" เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ขณะได้ยินก็เป็นอนัตตา เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการฟัง ฟังจนกระทั้งสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติมีการระลึกได้ในขณะเห็นในขณะนี้ตามความเป็นจริง มิฉะนั้นก็จะมีแต่สมาธิ แล้วก็ไม่รู้ว่าปัญญานั้นรู้อะไร
ก่อนอื่นก็จะต้องเริ่มจากความเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง....ปัญญาสามารถที่จะรู้ชีวิตประจำวันทุกขณะ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส คิดนึก ปัญญาต้องระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปรกติตามความเป็นจริง และต้องรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตนเป็นเพียงธาตุ เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุว่าการเกิดดับรวดเร็ว จึงไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดกับได้ จึงมีการจดจำสิ่งที่ปรากฏเหมือนว่าไม่ดับ จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นปัญญาที่สามารถประหารกิเลสได้ ต้องประจักษ์ความจริงของโลก คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แล้วดับไปในขณะนี้ นั่นจึงจะเป็นปัญญาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเริ่มจากปัญญาขั้นต้นด้วยการฟังธรรม อบรมเจริญให้ยิ่ง ๆ ขึ้น
สำหรับบทความนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านด้วยค่ะ