ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน
สังขารธรรม ได้แก่ ปรมัตถธรรม ๓ คือ จิต เจตสิก รูป.......นิพพานไม่ใช่สังขารธรรม นิพพานเป็นวิสังขารธรรม.....สภาพของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละชนิด เป็นสภาพธรรมที่แตกต่างกัน....จิตเป็นสภาพรู้ เวทนาเป็นสภาพความรู้สึก....จิตและเจตสิกเป็นสภาพนามธรรมคนละประเภท....ส่วนรูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร....สังขารธรรมหรือธรรมะทั้งปวง เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิดแล้วก็ดับไป....สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าสังขารธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง....ความไม่เที่ยงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์....จึงไม่ควรที่จะยึดถือธรรมทั้งปวงว่าเป็นตัวเราของเรา....สังขารธรรมตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตที่เพลิดเพลินยินดีพอใจเป็น "ความสุข" นั้นก็ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไป....สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์นั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะทุกข์ทางกายที่มีการเจ็บปวด ไม่สบายป่วยเป็นไข้ ความลำบากกาย ความเดือดร้อนกายเท่านั้น ยังมีทุกข์เกิดขึ้นทางใจ.....ทุกข์ที่ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ที่ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ ความเศร้าโศกพิไรรำพัน ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์
สังขารขันธ์.....รูปทั้งหมดแต่ละรูปเป็นรูปขันธ์.....จิตทั้งหมดเป็นวิญญาณขันธ์หรือนามขันธ์....สำหรับเจตสิกทั้งหมด ๕๒ ดวง ได้แก่ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ ๑ ดวง.....สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ ๑ ดวง.....ที่เหลือเจตสิก ๕๐ ดวงเป็น "สังขารขันธ์".....สังขารขันธ์แต่ละดวงมีสภาพแตกต่างกันและทำหน้าที่ปรุงแต่งจิต ให้เป็นกุศลและอกุศลแล้วแต่เหตุปัจจัย....เพราะฉะนั้นสังขารธรรมจึงมีความหมายกว้างกว่าสังขารขันธ์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมตามสภาพความจริงของธรรมแต่ละประเภทว่า ธรรมใดเกิดขึ้น ธรรมนั้นมีปัจจัยทำให้เกิด ธรรมที่เกิดขึ้นเป็น "สังขารธรรม"........ถึงแม้ว่า จิต เจตสิก รูป จะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ก็ยากที่จะเห็นได้รู้ได้ และเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด ละความยินดีพอใจ คลายความยึดถือในรูปธรรมนามธรรมได้....การที่จะเบื่อหน่าย ละความยินดี ความยึดถือในรูปธรรมนามธรรมได้นั้น จะต้องพิจารณาเห็นด้วยปัญญา ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดังนี้ว่า "เมื่อใด บุคคพิจารณาด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้นเขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็นหนทางแห่งความบริสุทธิ์"
สำหรับบทความนี้เป็นเพียงแบบย่อ ๆ เท่านั้น.....หากมีข้อความตอนใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน