หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สังขารธรรมและสังขารขันธ์





 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

สังขารธรรม ได้แก่  ปรมัตถธรรม ๓  คือ จิต เจตสิก รูป.......นิพพานไม่ใช่สังขารธรรม  นิพพานเป็นวิสังขารธรรม.....สภาพของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละชนิด เป็นสภาพธรรมที่แตกต่างกัน....จิตเป็นสภาพรู้  เวทนาเป็นสภาพความรู้สึก....จิตและเจตสิกเป็นสภาพนามธรรมคนละประเภท....ส่วนรูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร....สังขารธรรมหรือธรรมะทั้งปวง เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิดแล้วก็ดับไป....สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์  เพราะเหตุว่าสังขารธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง....ความไม่เที่ยงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์....จึงไม่ควรที่จะยึดถือธรรมทั้งปวงว่าเป็นตัวเราของเรา....สังขารธรรมตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

จิตที่เพลิดเพลินยินดีพอใจเป็น "ความสุข" นั้นก็ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไป....สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์นั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะทุกข์ทางกายที่มีการเจ็บปวด  ไม่สบายป่วยเป็นไข้  ความลำบากกาย ความเดือดร้อนกายเท่านั้น  ยังมีทุกข์เกิดขึ้นทางใจ.....ทุกข์ที่ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ   ทุกข์ที่ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ ความเศร้าโศกพิไรรำพัน ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ 

สังขารขันธ์.....รูปทั้งหมดแต่ละรูปเป็นรูปขันธ์.....จิตทั้งหมดเป็นวิญญาณขันธ์หรือนามขันธ์....สำหรับเจตสิกทั้งหมด ๕๒ ดวง ได้แก่  เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ ๑ ดวง.....สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ ๑ ดวง.....ที่เหลือเจตสิก ๕๐ ดวงเป็น "สังขารขันธ์".....สังขารขันธ์แต่ละดวงมีสภาพแตกต่างกันและทำหน้าที่ปรุงแต่งจิต ให้เป็นกุศลและอกุศลแล้วแต่เหตุปัจจัย....เพราะฉะนั้นสังขารธรรมจึงมีความหมายกว้างกว่าสังขารขันธ์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมตามสภาพความจริงของธรรมแต่ละประเภทว่า  ธรรมใดเกิดขึ้น ธรรมนั้นมีปัจจัยทำให้เกิด ธรรมที่เกิดขึ้นเป็น "สังขารธรรม"........ถึงแม้ว่า จิต เจตสิก รูป จะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ก็ยากที่จะเห็นได้รู้ได้ และเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด ละความยินดีพอใจ คลายความยึดถือในรูปธรรมนามธรรมได้....การที่จะเบื่อหน่าย ละความยินดี ความยึดถือในรูปธรรมนามธรรมได้นั้น จะต้องพิจารณาเห็นด้วยปัญญา  ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดังนี้ว่า "เมื่อใด บุคคพิจารณาด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง  เมื่อนั้นเขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์  นี้เป็นหนทางแห่งความบริสุทธิ์"  

สำหรับบทความนี้เป็นเพียงแบบย่อ ๆ เท่านั้น.....หากมีข้อความตอนใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย  และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน 

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อบายมุขหมายถึงอะไร



 
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

อบายมุข หมายถึง ช่องทางแห่งความเสื่อมความฉิบหาย เป็นเหตุแห่งความวิบัติย่อยับเสื่อมเสียโภคทรัพย์และอื่น ๆ อีกมากมาย อบายมุขแบ่งเป็น ๖ ประการ


อบายมุข ๖  ทางแห่งความเสื่อมเสียย่อยยับ ๖  ประการ  ได้แก่

๑.  การติดสุราและของเสพติดมึนเมา  มีโทษ ๖  อย่าง  คือ
     ๑.๑   เสียทรัพย์สิน
     ๑.๒. ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท
     ๑.๓. ทำลายสุขภาพ
     ๑.๔. ทำลายและเสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ
     ๑.๕. เป็นผู้ไม่มีความละอาย
     ๑.๖. บันทอนกำลังปัญญา

๒. การชอบเที่ยวกลางคืน  มีโทษ ๖  อย่าง  คือ
    ๒.๑.  เป็นการไม่รักษาตนรักชีวิต
    ๒.๒.  เป็นการไม่รักษาครอบครัว ลูกและภรรยา
    ๒.๓.  เป็นการไม่รักษาทรัพย์
    ๒.๔.  เป็นที่ระแวงของสังคม เป็นผู้ต้องสงสัย
    ๒.๕.  เป็นเป้าหมายให้ผู้อื่นใส่ร้ายในทางไม่ดีได้
    ๒.๖.  เป็นเหตุนำเรื่องเดือดร้อนมาให้ตนเองและครอบครัว

๓. การชอบดูการละเล่น  มีโทษ ๖  อย่าง  คือ
    ๓.๑.  อยู่ไม่ได้ มีการเต้นรำที่ไหนต้องไปที่นั่น
    ๓.๒.  อยู่ไม่ได้ มีขับร้องที่ไหนต้องไปที่นั่น
    ๓.๓.  อยู่ไม่ได้ มีดีดสีตีเป่าที่ไหนต้องไปที่นั่น
    ๓.๔.  อยู่ไม่ได้ มีเสภาที่ไหนไปที่นั่น
    ๓.๕.  อยู่ไม่ได้ มีเพลงที่ไหนต้องไปที่นั่น
    ๓.๖.  อยู่ไม่ได้ มีเถิดเทิงที่ไหนต้องไปที่นั่น

๔. การติดการพนัน เป็นนักพนัน ชอบเล่นการพนัน มีโทษ ๖ อย่าง  คือ
    ๔.๑.  เมื่อชนะย่อมก่อเวร
    ๔.๒.  เมื่อแพ้ก็เกิดการเสียดายทรัพย์ที่เสียไป
    ๔.๓.  เมื่อเสียทรัพย์หมดไปเห็นได้ชัด
    ๔.๔.  เมื่อเข้าที่ประชุม ไม่มีใครเชื่อในถ้อยวาจาที่กล่าว
    ๔.๕.  เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อนฝูง
    ๔.๖.  ไม่เป็นที่ประสงค์ของผู้ที่จะหาคู่ครอง เพราะเห็นว่าเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ

๕. การคบคนชั่วเป็นมิตร  ทำให้เกิดโทษ ๖  อย่าง  คือ
    ๕.๑.  คบนักการพนัน                        ๕.๔  คบนักลวงของปลอม
    ๕.๒.  คบนักเลงผู้หญิง                      ๕.๕. คบนักหลอกลวงต้มตุ๋น
    ๕.๓.  คบนักเลงเหล้า                        ๕.๖. คบนักเลงหัวไม้

๖. การเกียจคร้านการทำงาน  มีโทษ ๖  อย่าง  คือ
    ๖.๑.  มักอ้างหนาวนักแล้วไม่ทำงาน     ๖.๔.  มักอ้างยังเช้าอยู่แล้วไม่ทำงาน
    ๖.๒.  มักอ้างเย็นนักแล้วไม่ทำงาน       ๖.๕.  มักอ้างว่าหิวกระหายแล้วไม่ทำงาน
    ๖.๓.  มักอ้างร้อนนักแล้วไม่ทำงาน       ๖.๖.  มักอ้างอิ่มนักแล้วไม่ทำงาน

ช่องทางแห่งความเสื่อมย่อยยับฉิบหายเหล่านี้  เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจอย่างยิ่ง  ฉะนั้นบุคคลผู้ทราบโทษของอบายมุข ๖ แล้ว..... พึงควรที่จะละเว้นเสีย เพื่อความสุขความเจริญยิ่งแห่งชีวิต

บทความนี้หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย  และขออโหสิกรรมจากผู้อ่านทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย......ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร







ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งปวง พร้อมทั้งเหตุและผลของธรรมทั้งปวงพระองค์ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้พุทธบริษัทให้รู้ตามพระองค์  ให้ทราบว่าสภาพธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา.....สภาพธรรมทั้งปวงเป็น "ปรมัตถธรรม" คือเป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาหรือเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้น ๆ ได้ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้  จะเรียกภาษาอะไร หรือไม่เรียกก็ตาม  สภาพธรรมนั้น ก็ไม่มีใครที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย....สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น  เพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัย

ความที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง  จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด  และหลงยึดสภาพธรรมทั้งหลาย ว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นเรา ของเรา จึงทำให้เกิดความยินดีพอใจ ติดข้องต้องการ ยึดติดเพิ่มยิ่งขึ้นในลาภ ยศ สรรเสริญ โภคทรัพย์ ชาติตระกูล วรรณะ....ตามความจริงแล้วสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกายและทางใจนั้น  เป็นเพียงลักษณะสภาพธรรมแต่ละชนิด  เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยต่าง ๆ กัน

วัตถุสิ่งของต่าง ๆ และเสียง  กลิ่น  รสต่าง ๆ  เย็น  ร้อน  อ่อน แข็ง ไหว ตึง และเรื่องราวต่าง ๆ  นั้น  จะปรากฏให้รู้ได้ ก็ต่อเมื่อมีสภาพธรรมที่เป็น "สภาพรู้"  ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบัญญัติเรียกสภาพรู้นี้ว่า "จิต"  สภาพรู้หรือจิตนี้ก็ได้แก่  การได้เห็น (จักขุวิญญาณ)....การได้ยิน (โสตวิญญาณ)...  การได้กลิ่น (ฆานวิญญาณ)....การลิ้มรส (ชิวหาวิญญาณ).....การรู้ร้อน  การรู้เย็น  การรู้อ่อน  การรู้แข็ง  การรู้ไหว  การรู้ตึง (กายวิญญาณ)  และการรู้ความนึกคิด (มโนวิญญาณ)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งปวง  พระองค์ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้  เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย  นับตั้งแต่สมัยตรัสรู้  ตราบจนถึงปรินิพพานเป็นเวลา ๔๕ พรรษา  ด้วยพระปัญญาธิคุณ  พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ  พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย "สัมปทา" คือ เหตุสัมปทาและผลสัมปทา  แล้วพระองค์ก็ได้ทรงโปรดเวไนยสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ เป็นการถึงพร้อมด้วย "สัตตูปสัมปทา"  การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยสัมปทาทั้งสาม....การตรัสรู้ธรรม ทำให้พระองค์ทรงหมดกิเลส  และพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ตรัสรู้  ก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้หมดกิเลสด้วย

สำหรับบทความนี้เป็นเพียงย่อ ๆ เท่านั้น  หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย  และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ

                                             
                                               ............................................






วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดับโกรธได้อย่างไร






ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้ใฝ่ในพระธรรมทุกท่าน

โกรธ...เป็นสภาพธรรมะที่มีจริง ๆ  เป็นโทสมูลจิตหรือโทสเจตสิก....."โทสะ" เป็นสภาพที่หยาบกระด้าง  ขุ่นเคือง  ความรำคาญใจ ความอิจฉา ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ...เพราะเหตุว่ามีโทสมูลหรือโทสเจตสิก จึงทำให้เกิดโทสมูลจิต

ถ้าไม่มีปัญญาจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะกำจัดกิเลสได้เลย  และปัญญาก็จะต้องเป็นไปตามลำดับขั้นด้วย....เริ่มตั้งแต่ปัญญาขั้นการฟังธรรม ศึกษาธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมที่ละเอียด  จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น....การฟังและการศึกษาก็เพื่อให้เกิดเข้าใจและความเห็นถูกต้อง ซึ่งเป็น "ปัญญา" ขั้นต้น....การเข้าใจเรื่องของธรรมะ  จนกระทั่งเป็นปัจจัย ให้สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง....แต่ก็ยังไม่เพียงพอแค่นั้น  เพราะว่าเป็นเพียงปัญญาขั้นต้นเท่านั้น....ต้องฟังธรรม ศึกษาธรรมและพิจารณาธรรม ให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ๆ ทีละน้อย  จนสามารถเข้าใจในสภาพธรรมะที่ปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริง  ซึ่งเป็น "ปัญญา" ขั้นละเอียดขึ้น

ถ้าขณะนี้กำลังโกรธ  สติระลึกได้ว่า "ไม่ควรที่จะโกรธตอบ เพราะว่าจิตขณะนั้นเป็นอกุศล"  สภาพที่โกรธมีจริง ๆ  ปัญญาสามารถเห็นความหยาบกระด้างของจิตในขณะที่โกรธ  และปัญญาก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงว่า  สภาพธรรมที่เกิดนี้ ไม่มีผู้ใดบังคับบัญชาได้....เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วก็เกิดขึ้น  ทำหน้าที่ตามกำลังของความโกรธนั้น จะโกรธมากหรือโกรธน้อยก็ขึ้นอยู่ที่กำลังของกิเลส (โทสมูลจิต).....ขณะโกรธแล้วระลึกได้...พิจารณาบุคคลอื่นในทางที่จะทำให้เกิด เมตตาบ้าง(ความเป็นมิตรไมตรี  เกื้อกูล)  กรุณาบ้าง (ความสงสาร)  มุทิตาบ้าง (ยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุขหรือประสบความสำเร็จ) อุเบกขาบ้าง (วางใจเป็นกลาง) นี่เป็นกุศลจิตซึ่งปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ  ซึ่งเป็นจิตที่สงบ.....ฉะนั้นเมื่อต้องการที่จะดับกิเลสจึงต้อง "อบรมเจริญกุศลทุกประการ" ไม่ใช่เพียงแต่มุ่ง "ทำทาน" เท่านั้น

โทษของการโกรธ....ถ้าเป็นผู้โกรธง่ายหรือโกรธอยู่เสมอ  จนกระทั่งเป็นอาจิณกรรมและกรรมนั้นแหละก็จะพาไปปฏิสนธิ (เกิด) ในทุคติภูมิ....ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ จะไม่โกรธตั้งแต่เดี๋ยวนี้  เพราะเหตุว่าจุติจิต (ตาย) จะเกิดเมื่อไร ไม่สามารถทราบได้ และปฏิสนธิจิตจะเกิดเมื่อไรก็ไม่ทราบได้เช่นกัน ถ้าไม่โกรธอยู่เสมอจนเป็นอาจิณกรรม ก็จะหวังได้ว่ากรรมนั้นคงจะพาไปสู่สุคติภูมิ

สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา โทสะก็เป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย....ผู้ที่ดับโทสะเป็นสมุจเฉท โทสเจติสิกไม่เกิดอีกเลย จะต้องเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา  รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นอริยบุคคลขั้น "พระอคานามีบุคคล" 

สำหรับบทความนี้เป็นเพียงย่อ ๆ  เท่านั้น.....หากมีข้อความตอนใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปุถุชน

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่าน

คำว่า "ปุถุชน" หมายความว่า เป็นผู้หนาด้วยกิเลส ยังกิเลสมากมายให้เกิด เป็นผู้ไม่ชอบฟังสิ่งที่ควรรู้ ซึ่งยังเป็นผู้มืดบอด ไม่สนใจแม้เพียงแต่จะฟังสิ่งที่น่ารู้ควรรู้เพียงเล็กน้อย....ปุถุชนผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความ ศรัทธาที่่่จะฟังสิ่่งที่ควรรู้  ฟังพระธรรมเพื่อเกื้อกูลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจตามความเป็นจริงของลักษณะสภาพธรรม ที่ปรากฏตามความเป็นจริงขณะนั้น..... จนกว่าจะพ้นจากความเป็น "ปุถุชน" เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล โดยละคลายความติดข้อง ยินดี พอใจในสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจได้หมด  เพื่อความไม่ประมาท....จึงควรฟังพระธรรมเพื่อสะสม "ความเห็นถูกต้อง" (สัมมาทิฏฐิ)

พึงยอมรับตามความเป็นจริงว่า ตนยังมีกิเลสมากมายอยู่....."ปุถุชน"  ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งต่าง ๆ เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปไม่เหลือเลย....ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา  ถ้ารู้อย่างนี้ไม่ได้....กิเลสก็จะไม่มีวันที่จะเบาบางลงเลย  เพราะฉะนั้นจึงควรยอมรับตามความเป็นจริงว่า ยังเป็นผู้มีกิเลสมากมายอยู่

ปุถุชนผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งในอริยสัจจธรรม "เป็นผู้ที่มิได้สดับ" เพราะเหตุว่าไม่มีการศึกษาเล่าเรียนและพิจารณาในหัวข้อธรรมะ ได้แก่  ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปัจจัยต่าง ๆ  และสติปัฏฐานเป็นต้น....ไม่มีมรรคผล  เพราะไม่ได้บรรลุมรรคผลที่ตนจะพึงบรรลุได้ด้วยการเจริญอบรมปัญญา.....ดังนั้นพึงรู้ไว้ว่าเป็น "ผุ้มิได้สดับ" เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ฟังธรรม ศึกษาธรรม ไม่ได้มรรคผล ก็ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสหนาอยู่ดี

ใจของปุถุชนย่อมหวั่นไหวไปตามกระแสอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ  เพราะเหตุว่ายังมีอกุศลอยู่มากมาย เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะตามความเป็นจริง....ผู้ไม่ฟังธรรมเหมือนตกอยู่ใต้หลังคาของกิเลส คือถูกกิเลสครอบงำบอดมืดมิด ไม่มีโอกาสที่จะรู้ตามความเป็นจริงเลย  การได้ฟังธรรมเป็นโอกาสอันประเสริฐสุด....... ........ถ้ารู้ได้ว่าตนกำลังอยู่ใต้หลังคาของกิเลส   แล้วเริ่มฟังธรรมศึกษาธรรม  ก็เรียกว่ากำลังเริ่มจะมีแสงสว่าง คือปัญญาที่จะค่อย ๆ  ส่องให้เห็นความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นเพียงหนทางเดียว ที่จะรักษาจิตจากการถูกครอบงำของกิเลสได้

สำหรับบทความนี้เป็นเพียงสังเขป....หากข้อความใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย  และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ

                                             .........................................