ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่าน
คำว่า "ปุถุชน" หมายความว่า เป็นผู้หนาด้วยกิเลส ยังกิเลสมากมายให้เกิด เป็นผู้ไม่ชอบฟังสิ่งที่ควรรู้ ซึ่งยังเป็นผู้มืดบอด ไม่สนใจแม้เพียงแต่จะฟังสิ่งที่น่ารู้ควรรู้เพียงเล็กน้อย....ปุถุชนผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความ ศรัทธาที่่่จะฟังสิ่่งที่ควรรู้ ฟังพระธรรมเพื่อเกื้อกูลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจตามความเป็นจริงของลักษณะสภาพธรรม ที่ปรากฏตามความเป็นจริงขณะนั้น..... จนกว่าจะพ้นจากความเป็น "ปุถุชน" เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล โดยละคลายความติดข้อง ยินดี พอใจในสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจได้หมด เพื่อความไม่ประมาท....จึงควรฟังพระธรรมเพื่อสะสม "ความเห็นถูกต้อง" (สัมมาทิฏฐิ)
พึงยอมรับตามความเป็นจริงว่า ตนยังมีกิเลสมากมายอยู่....."ปุถุชน" ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งต่าง ๆ เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปไม่เหลือเลย....ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ถ้ารู้อย่างนี้ไม่ได้....กิเลสก็จะไม่มีวันที่จะเบาบางลงเลย เพราะฉะนั้นจึงควรยอมรับตามความเป็นจริงว่า ยังเป็นผู้มีกิเลสมากมายอยู่
ปุถุชนผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งในอริยสัจจธรรม "เป็นผู้ที่มิได้สดับ" เพราะเหตุว่าไม่มีการศึกษาเล่าเรียนและพิจารณาในหัวข้อธรรมะ ได้แก่ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปัจจัยต่าง ๆ และสติปัฏฐานเป็นต้น....ไม่มีมรรคผล เพราะไม่ได้บรรลุมรรคผลที่ตนจะพึงบรรลุได้ด้วยการเจริญอบรมปัญญา.....ดังนั้นพึงรู้ไว้ว่าเป็น "ผุ้มิได้สดับ" เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ฟังธรรม ศึกษาธรรม ไม่ได้มรรคผล ก็ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสหนาอยู่ดี
ใจของปุถุชนย่อมหวั่นไหวไปตามกระแสอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เพราะเหตุว่ายังมีอกุศลอยู่มากมาย เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะตามความเป็นจริง....ผู้ไม่ฟังธรรมเหมือนตกอยู่ใต้หลังคาของกิเลส คือถูกกิเลสครอบงำบอดมืดมิด ไม่มีโอกาสที่จะรู้ตามความเป็นจริงเลย การได้ฟังธรรมเป็นโอกาสอันประเสริฐสุด....... ........ถ้ารู้ได้ว่าตนกำลังอยู่ใต้หลังคาของกิเลส แล้วเริ่มฟังธรรมศึกษาธรรม ก็เรียกว่ากำลังเริ่มจะมีแสงสว่าง คือปัญญาที่จะค่อย ๆ ส่องให้เห็นความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นเพียงหนทางเดียว ที่จะรักษาจิตจากการถูกครอบงำของกิเลสได้
สำหรับบทความนี้เป็นเพียงสังเขป....หากข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
.........................................
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่าน
คำว่า "ปุถุชน" หมายความว่า เป็นผู้หนาด้วยกิเลส ยังกิเลสมากมายให้เกิด เป็นผู้ไม่ชอบฟังสิ่งที่ควรรู้ ซึ่งยังเป็นผู้มืดบอด ไม่สนใจแม้เพียงแต่จะฟังสิ่งที่น่ารู้ควรรู้เพียงเล็กน้อย....ปุถุชนผู้มีความเห็นถูกต้อง มีความ ศรัทธาที่่่จะฟังสิ่่งที่ควรรู้ ฟังพระธรรมเพื่อเกื้อกูลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจตามความเป็นจริงของลักษณะสภาพธรรม ที่ปรากฏตามความเป็นจริงขณะนั้น..... จนกว่าจะพ้นจากความเป็น "ปุถุชน" เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล โดยละคลายความติดข้อง ยินดี พอใจในสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจได้หมด เพื่อความไม่ประมาท....จึงควรฟังพระธรรมเพื่อสะสม "ความเห็นถูกต้อง" (สัมมาทิฏฐิ)
พึงยอมรับตามความเป็นจริงว่า ตนยังมีกิเลสมากมายอยู่....."ปุถุชน" ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งต่าง ๆ เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปไม่เหลือเลย....ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ถ้ารู้อย่างนี้ไม่ได้....กิเลสก็จะไม่มีวันที่จะเบาบางลงเลย เพราะฉะนั้นจึงควรยอมรับตามความเป็นจริงว่า ยังเป็นผู้มีกิเลสมากมายอยู่
ปุถุชนผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งในอริยสัจจธรรม "เป็นผู้ที่มิได้สดับ" เพราะเหตุว่าไม่มีการศึกษาเล่าเรียนและพิจารณาในหัวข้อธรรมะ ได้แก่ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปัจจัยต่าง ๆ และสติปัฏฐานเป็นต้น....ไม่มีมรรคผล เพราะไม่ได้บรรลุมรรคผลที่ตนจะพึงบรรลุได้ด้วยการเจริญอบรมปัญญา.....ดังนั้นพึงรู้ไว้ว่าเป็น "ผุ้มิได้สดับ" เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ฟังธรรม ศึกษาธรรม ไม่ได้มรรคผล ก็ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสหนาอยู่ดี
ใจของปุถุชนย่อมหวั่นไหวไปตามกระแสอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เพราะเหตุว่ายังมีอกุศลอยู่มากมาย เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะตามความเป็นจริง....ผู้ไม่ฟังธรรมเหมือนตกอยู่ใต้หลังคาของกิเลส คือถูกกิเลสครอบงำบอดมืดมิด ไม่มีโอกาสที่จะรู้ตามความเป็นจริงเลย การได้ฟังธรรมเป็นโอกาสอันประเสริฐสุด....... ........ถ้ารู้ได้ว่าตนกำลังอยู่ใต้หลังคาของกิเลส แล้วเริ่มฟังธรรมศึกษาธรรม ก็เรียกว่ากำลังเริ่มจะมีแสงสว่าง คือปัญญาที่จะค่อย ๆ ส่องให้เห็นความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นเพียงหนทางเดียว ที่จะรักษาจิตจากการถูกครอบงำของกิเลสได้
สำหรับบทความนี้เป็นเพียงสังเขป....หากข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
.........................................