ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในพระธรรมทุกท่าน
โกรธ...เป็นสภาพธรรมะที่มีจริง ๆ เป็นโทสมูลจิตหรือโทสเจตสิก....."โทสะ" เป็นสภาพที่หยาบกระด้าง ขุ่นเคือง ความรำคาญใจ ความอิจฉา ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ...เพราะเหตุว่ามีโทสมูลหรือโทสเจตสิก จึงทำให้เกิดโทสมูลจิต
ถ้าไม่มีปัญญาจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะกำจัดกิเลสได้เลย และปัญญาก็จะต้องเป็นไปตามลำดับขั้นด้วย....เริ่มตั้งแต่ปัญญาขั้นการฟังธรรม ศึกษาธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมที่ละเอียด จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น....การฟังและการศึกษาก็เพื่อให้เกิดเข้าใจและความเห็นถูกต้อง ซึ่งเป็น "ปัญญา" ขั้นต้น....การเข้าใจเรื่องของธรรมะ จนกระทั่งเป็นปัจจัย ให้สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง....แต่ก็ยังไม่เพียงพอแค่นั้น เพราะว่าเป็นเพียงปัญญาขั้นต้นเท่านั้น....ต้องฟังธรรม ศึกษาธรรมและพิจารณาธรรม ให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ๆ ทีละน้อย จนสามารถเข้าใจในสภาพธรรมะที่ปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็น "ปัญญา" ขั้นละเอียดขึ้น
ถ้าขณะนี้กำลังโกรธ สติระลึกได้ว่า "ไม่ควรที่จะโกรธตอบ เพราะว่าจิตขณะนั้นเป็นอกุศล" สภาพที่โกรธมีจริง ๆ ปัญญาสามารถเห็นความหยาบกระด้างของจิตในขณะที่โกรธ และปัญญาก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมที่เกิดนี้ ไม่มีผู้ใดบังคับบัญชาได้....เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วก็เกิดขึ้น ทำหน้าที่ตามกำลังของความโกรธนั้น จะโกรธมากหรือโกรธน้อยก็ขึ้นอยู่ที่กำลังของกิเลส (โทสมูลจิต).....ขณะโกรธแล้วระลึกได้...พิจารณาบุคคลอื่นในทางที่จะทำให้เกิด เมตตาบ้าง(ความเป็นมิตรไมตรี เกื้อกูล) กรุณาบ้าง (ความสงสาร) มุทิตาบ้าง (ยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุขหรือประสบความสำเร็จ) อุเบกขาบ้าง (วางใจเป็นกลาง) นี่เป็นกุศลจิตซึ่งปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นจิตที่สงบ.....ฉะนั้นเมื่อต้องการที่จะดับกิเลสจึงต้อง "อบรมเจริญกุศลทุกประการ" ไม่ใช่เพียงแต่มุ่ง "ทำทาน" เท่านั้น
โทษของการโกรธ....ถ้าเป็นผู้โกรธง่ายหรือโกรธอยู่เสมอ จนกระทั่งเป็นอาจิณกรรมและกรรมนั้นแหละก็จะพาไปปฏิสนธิ (เกิด) ในทุคติภูมิ....ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ จะไม่โกรธตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะเหตุว่าจุติจิต (ตาย) จะเกิดเมื่อไร ไม่สามารถทราบได้ และปฏิสนธิจิตจะเกิดเมื่อไรก็ไม่ทราบได้เช่นกัน ถ้าไม่โกรธอยู่เสมอจนเป็นอาจิณกรรม ก็จะหวังได้ว่ากรรมนั้นคงจะพาไปสู่สุคติภูมิ
สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา โทสะก็เป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย....ผู้ที่ดับโทสะเป็นสมุจเฉท โทสเจติสิกไม่เกิดอีกเลย จะต้องเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นอริยบุคคลขั้น "พระอคานามีบุคคล"
สำหรับบทความนี้เป็นเพียงย่อ ๆ เท่านั้น.....หากมีข้อความตอนใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน