หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดับโกรธได้อย่างไร






ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้ใฝ่ในพระธรรมทุกท่าน

โกรธ...เป็นสภาพธรรมะที่มีจริง ๆ  เป็นโทสมูลจิตหรือโทสเจตสิก....."โทสะ" เป็นสภาพที่หยาบกระด้าง  ขุ่นเคือง  ความรำคาญใจ ความอิจฉา ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ...เพราะเหตุว่ามีโทสมูลหรือโทสเจตสิก จึงทำให้เกิดโทสมูลจิต

ถ้าไม่มีปัญญาจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะกำจัดกิเลสได้เลย  และปัญญาก็จะต้องเป็นไปตามลำดับขั้นด้วย....เริ่มตั้งแต่ปัญญาขั้นการฟังธรรม ศึกษาธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมที่ละเอียด  จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น....การฟังและการศึกษาก็เพื่อให้เกิดเข้าใจและความเห็นถูกต้อง ซึ่งเป็น "ปัญญา" ขั้นต้น....การเข้าใจเรื่องของธรรมะ  จนกระทั่งเป็นปัจจัย ให้สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง....แต่ก็ยังไม่เพียงพอแค่นั้น  เพราะว่าเป็นเพียงปัญญาขั้นต้นเท่านั้น....ต้องฟังธรรม ศึกษาธรรมและพิจารณาธรรม ให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ๆ ทีละน้อย  จนสามารถเข้าใจในสภาพธรรมะที่ปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริง  ซึ่งเป็น "ปัญญา" ขั้นละเอียดขึ้น

ถ้าขณะนี้กำลังโกรธ  สติระลึกได้ว่า "ไม่ควรที่จะโกรธตอบ เพราะว่าจิตขณะนั้นเป็นอกุศล"  สภาพที่โกรธมีจริง ๆ  ปัญญาสามารถเห็นความหยาบกระด้างของจิตในขณะที่โกรธ  และปัญญาก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงว่า  สภาพธรรมที่เกิดนี้ ไม่มีผู้ใดบังคับบัญชาได้....เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วก็เกิดขึ้น  ทำหน้าที่ตามกำลังของความโกรธนั้น จะโกรธมากหรือโกรธน้อยก็ขึ้นอยู่ที่กำลังของกิเลส (โทสมูลจิต).....ขณะโกรธแล้วระลึกได้...พิจารณาบุคคลอื่นในทางที่จะทำให้เกิด เมตตาบ้าง(ความเป็นมิตรไมตรี  เกื้อกูล)  กรุณาบ้าง (ความสงสาร)  มุทิตาบ้าง (ยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุขหรือประสบความสำเร็จ) อุเบกขาบ้าง (วางใจเป็นกลาง) นี่เป็นกุศลจิตซึ่งปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ  ซึ่งเป็นจิตที่สงบ.....ฉะนั้นเมื่อต้องการที่จะดับกิเลสจึงต้อง "อบรมเจริญกุศลทุกประการ" ไม่ใช่เพียงแต่มุ่ง "ทำทาน" เท่านั้น

โทษของการโกรธ....ถ้าเป็นผู้โกรธง่ายหรือโกรธอยู่เสมอ  จนกระทั่งเป็นอาจิณกรรมและกรรมนั้นแหละก็จะพาไปปฏิสนธิ (เกิด) ในทุคติภูมิ....ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ จะไม่โกรธตั้งแต่เดี๋ยวนี้  เพราะเหตุว่าจุติจิต (ตาย) จะเกิดเมื่อไร ไม่สามารถทราบได้ และปฏิสนธิจิตจะเกิดเมื่อไรก็ไม่ทราบได้เช่นกัน ถ้าไม่โกรธอยู่เสมอจนเป็นอาจิณกรรม ก็จะหวังได้ว่ากรรมนั้นคงจะพาไปสู่สุคติภูมิ

สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา โทสะก็เป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย....ผู้ที่ดับโทสะเป็นสมุจเฉท โทสเจติสิกไม่เกิดอีกเลย จะต้องเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา  รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นอริยบุคคลขั้น "พระอคานามีบุคคล" 

สำหรับบทความนี้เป็นเพียงย่อ ๆ  เท่านั้น.....หากมีข้อความตอนใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน