หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเห็นประโยชน์ของศีล





ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้ใฝ่ใจในธรรมทุกท่าน

เรื่องเกี่ยวกับการถือศีล  การรักษาศีลและการมีศีลนั้น  ก็จะต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของศีลก่อน  จะต้องเป็นผู้เห็นโทษของการมีความประพฤติทางกายไม่ดี  และเป็นผู้มีวาจาไม่ดี  แล้วจึงจะมีการเพียรที่จะเห็นประโยชน์ของการรักษาศีล คือ เว้นจากการฆ่า การทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่น.....เว้นจากการละเมิดสิ่งของ ๆ ผู้อื่นที่ไม่ได้ให้......เว้นจากการล่วงเกินภรรยา สามี หรือลูกของผู้อื่น.....  เว้นจากการพูดคำหยาบคาย  คำพูดที่ไม่จริง มุสาวาท  คำพูดส่อเสียดและคำพูดที่ไร้สาระ เพ้อเจ้อ......เว้นจากการดื่มสุราและเสพของมึนเมา.....ขณะใดที่วิรตีเจตสิกเกิดขึ้น ก็จะทำหน้าที่วิรัติ (งดเว้น) จากการประพฤติไม่ดีทางกายและทางวาจา  การที่มีวิรัติทุจริตทางกายและทางวาจา  ก็เพราะเหตุว่าเห็นประโยชน์ของศีล  ไม่ใช่เพื่อคำสรรเสริญเยินยอจากบุคคลอื่น

ศีลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยเหตุ ๔ ประการดังนี้
โดยความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัย ๑
โดยการสมาทาน ๑
โดยการก้าวล่วง ๑
โดยการกระทำให้เป็นปรกติ เมื่อมีการก้าวล่วง ๑

๑.โดยความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัย.....บุคคลบางท่านมีตนเป็นใหญ่  เพราะเหตุว่ามีอัธยาศัยบริสุทธิ์ รังเกียจบาป ยังหิริให้ปรากฏภายในจิต  แล้วมีสมาจาร (ความประพฤติ)บริสุทธิ์ด้วยดี

๒.ศีลบริสุทธิ์โดยการสมาทาน.....บุคคลบางท่านเมื่อมีการสมาทาน  ถือโลกเป็นใหญ่ มีความสะดุ้งต่อบาป ยังโอตัปปะให้ปรากฏแก่จิต  เป็นผู้มีสมาจาร (ความประพฤติ) บริสุทธิ์ด้วยดี

๓.ศีลบริสุทธิ์โดยการก้าวล่วง.....บุคคลมีศีลบริสุทธิ์เพราะไม่ล่วงแม้ทั้ง ๒ อย่าง คือ ทางกายและทางวาจา

๔.ศีลบริสุทธิ์โดยทำให้เป็นปรกติ เมื่อมีการก้าวล่วง.....บางครั้งหลงลืมสติไป  ศีลก็พึงขาดไปเป็นต้น  ก็มีการกระทำศีลที่ขาดไปนั้น ให้เป็นปรกติโดยเร็ว  ด้วยการอยู่กรรมเป็นต้น  เพื่อความถึงพร้อมแห่งหิริโอตตัปปะ  ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น

อรรถ (ความหมาย) ของศีลหรือสีลน แปลความหมายได้หลายอย่างดังนี้....
อรรถที่ว่าสีลน   เพราะเป็นมูลราก คือเป็นเบื้องต้นของกุศล
อรรถที่ว่าสีลน   เพราะรวบรวม  คือไม่กระจัดกระจาย  หมายเอากรรมในทวาร ๖  มีกายกรรมและวจีกรรมเป็นต้น
อรรถที่ว่าสีลน   เพราะเป็นที่รองรับ  คือรองรับกุศลเบื้องสูง
อรรถที่ว่าสีลน   เพราะเป็นที่ตั้งมั่นด้วยดี  เป็นที่ตั้งมั่นของกุศลที่เป็นเบื้องสูง

อานิสงส์ของศีล
๑. เป็นผู้ไม่เสื่อมจากโภคะ
๒. เป็นผู้มีชื่อเสียงเกียรติยศจขรขจายไปไกล ด้วยอำนาจแห่งคุณความดี
๓. เป็นผู้ไม่เก้อเขินเมื่อเข้าสู่บริษัท
๔. เป็นผู้ไม่หลงกระทำกาลกิริยา
๕. เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว  ย่อมมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

สำหรับบทความนี้ หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาพระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย....อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ