ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจในพระธรรมทุกท่าน
ชีวิตของแต่ละคนในแต่ละวัน ซึ่งอาจจะประสบกับความสุขบ้างและความทุกข์บ้าง ซึ่งเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย......จึงควรที่จะทราบไว้ว่า ต้องมีเหตุปัจจัยที่ได้กระทำมาแล้วในแต่อดีต ไม่สามารถทราบได้ว่า....."กุศลกรรมและอกุศลกรรม" ที่ได้กระทำไว้แล้วนั้น "ผลของกรรม" จะส่งผลในขณะใด เมื่อใด เพราะเหตุว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ควรจะให้ผลเกิด ผลก็จะเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีผู้ใดบังคับหรือยับยั้งได้ตามต้องการ....แม้แต่บุคคลผู้ได้สะสมบุญกุศล จนสามารถที่จะบรรลุพระธรรมเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถที่จะหนีพ้นจาก "ผลของกรรม" ที่ได้กระทำไว้แล้วแต่ในอดีต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า " ไม่ว่าในอากาศ ไม่ว่าในกลางทะเล ไม่ว่าจะเข้าไปสู่ระหว่างภูเขา ย่อมไม่มีภูมิประเทศที่สัตว์สถิตอยู่แล้ว จะพึงพ้นไปจากบาปกรรมได้ "
"กรรม" เป็นนามธรรม ได้แก่ "เจตนาเจตสิก" ทำให้ "วิบากจิตและรูป" เกิดขึ้น (วิบากจิต ได้แก่ จิตเห็น, จิตได้ยิน, จิตรู้กลิ่น, จิตลิ้มรส, จิตรู้เย็น, จิตรู้ร้อน, จิตรู้อ่อน, จิตรู้แข็ง, จิตรู้ไหว, จิตรู้ตึง)......จิตเห็นสิ่งที่ไม่ดีทางตา เป็นอกุศลวิบาก...จิตได้ยินเสียงไม่เป็นที่น่าฟัง เป็นอกุศลวิบาก....จิตได้กลิ่นที่ไม่น่าปรารถนา เป็นอกุศลวิบาก....จิตลิ้มรสสิ่งที่ไม่ปรารถนา เป็นอกุศลวิบาก.....จิตรู้กระทบสัมผัสทางกาย เย็นร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึง ไม่เป็นที่พอใจ เป็นอกุศลวิบาก....ในทำนองตรงข้าม....จิตเห็นสิ่งที่ดีทางตา เป็นกุศลวิบาก....จิตได้ยินเสียงที่ดีทางหู เป็นกุศลวิบาก....ทางทวารอื่น ๆ ก็นัยเดียวกัน
โดยทั่ว ๆ ไปทุกท่านก็มักจะนึกถึง หรือเห็นผลของกรรม (วิบาก) เฉพาะแต่ที่เป็น "รูป"......ซึ่งแท้ที่จริงแล้วผลของกรรมเป็นสภาพธรรมที่เป็น "นามธรรม" คือ จิตและเจตสิก นั้นมีด้วย.....แต่ส่วนมากท่านจะนึกถึงในด้านวัตถุต่าง ๆ นึกถึงรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณและโภคทรัพย์เป็นผลของกุศลกรรม......ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมท่านก็จะนึกถึงความวิบัติของรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณและโภคทรัพย์.....แต่ไม่ทราบตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะ ซึ่งเป็นผลของกรรมว่าเป็น "นามธรรม" ด้วย คือ "จิตและเจตสิกเป็นวิบากจิต"
สำหรับบทความนี้ เป็นเพียงแค่สังเขป....หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัยและขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน