หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

ภารกิจที่ประเสริฐ








ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้ศรัทธาในธรรมทุกท่าน


 ทุกคนมีเวลาเหลือน้อยมาก จะอยู่บนโลกนี้อีกนานสักเท่าไหร่ไม่มีใครทราบ  แล้วยังจะยินดีพอใจที่จะอยู่กับโลภะ โทสะ โมหะ อีกต่อไป หรือว่าจะอยู่ด้วยความเห็นประโยชน์ ที่จะกระทำภารกิจอันประเสริฐที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้  สิ่งที่เราคิดว่าเป็นของเรา ก็ไม่ใช่ของเราเลยสักอย่าง  ตัวตนของเราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นทำกิจการงาน  ตัวของเราทั้งตัวก็เปรียบเสมือนท่อนไม้  และยังมีกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจอีกด้วย แต่เราก็ยังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า นี่ไม่ใช่ตัวเราของเรา เพราะเหตุว่ายังไม่เกิดปัญญารู้ตามความจริงว่า  แท้ที่จริงไม่ใช่ของเราทุกขณะจิตเลย  เพราะว่าเป็นแต่เพียงธาตุเย็น ร้อน อ่อน แข็ง.....ตาก็เป็นรูปที่เกิดจากกรรม ทำให้รูปนี้สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น....หูเป็นรูปที่เกิดจากกรรมที่ทำให้รูปนี้สามาถกระทบกับเสียง  เมื่อเสียงเกิดกระทบแล้วต้องยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นได้ยินแล้วดับไป  นี่ก็คือภาระหน้าที่ของสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วจะต้องทำกิจการงาน ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเฉย ๆ

 แต่ภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และมีประโยชน์กับสัตว์โลกทุกชีวิตทุกคนก็คือ "เข้าใจธรรม"  เพราะเป็นงานที่ประเสริฐที่สุดยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ในโลก.....ความเข้าใจธรรมเป็นสิ่งที่หาซื้อด้วยเงินทองไม่ได้เลย เพราะต้องมีการสะสม  ต้องเกิดขึ้นเพราะเป็นธาตุที่ไม่อยู่ในความบังคับบัญชาของผู้ใด....สักวันหนึ่งทุกคนก็จะต้องจากโลกนี้ไป  แล้วจะจากไปโดยไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่มีการเข้าใจตามความจริง ก็เรียกว่า เป็นบุคคลที่มืดบอด....ความไม่รู้ความจริงเป็นความหลง (โมหะ) เป็นเหตุให้เกิดความติดข้อง (โลภะ) เมื่อติดข้องแล้วไม่ได้ในสิ่งที่ตนอยาก ก็จะเกิดความไม่พอใจ (โทสะ).....ทุกอย่างที่เกิดสะสมอยู่ในจิต ซึ่งไม่มีใครมองเห็นเพราะเหตุว่าเป็นนามธรรม  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนมีอัธยาศัยแตกต่างกันตามการสะสมของจิต

การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมีโอกาสได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สะสมความเข้าใจเพื่อเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งจิตนั้น ไม่ใช่ของง่าย  บางคนไม่ได้สะสมการฟังพระธรรมมา หรือสะสมมาเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วแต่กาล  เพราะยังไม่เห็นคุณค่าและประโยชน์มหาศาลของพระธรรม  สิ่งที่เราเคารพบูชาอย่างสูงสุดก็คือ  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระองค์ไม่ทำให้เกิดอกุศลและไม่ทำให้ใครเป็นทุกข์  เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเคารพผู้ใด  ก็ควรเคารพในคุณความดีสูงสุด และผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีสิ่งที่ให้เรายิ่งกว่าผู้อื่นให้  คือให้ปัญญาหรือความรู้......เราไม่สามารถที่จะทำปัญญาให้เกิดเองได้  เพราะว่าเราเป็นเพียงผู้ฟังหรือสาวก  เราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดังนั้นเราต้องรู้ถึงกำลังปัญญาของเราตามความเป็นจริง  ฟังธรรมและเข้าใจธรรมที่ได้ฟัง  ฟังน้อยก็เข้าใจน้อย  ถ้าได้มีโอกาสฟังเพิ่มอีก ก็เข้าใจเพิ่มมากขึ้น  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง  ทุกคำสอนของพระองค์นำไปสู่ปัญญาญาณสัจจะ  ผู้ใดฟังแล้วเข้าใจก็เป็นปัญญาของผู้นั้น ที่จะนำไปสู่มรรคสัจจะ คือหนทางที่จะดับกิเลสทั้งปวง.

สำหรับบทความนี้ หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด  ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่าน