หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความจริงที่ควรพิจารณา



   
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ  ท่านผู้สนใจในพระธรรมทุกท่าน

ทุกคนมีชีวิตในชาติหนึ่ง ๆ  ยืนยาวบ้างหรือสั้นบ้าง  ขึ้นอยู่ที่กรรมซึ่งได้กระทำไว้แล้ว....การอบรมปัญญาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริง ให้เพิ่มขึ้นในแต่ละชาติ ย่อมมากบ้างหรือน้องบ้าง  เพราะเหตุว่าในชีวิตแต่ละวัน เต็มไปด้วยภารกิจและกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย....ดังนั้นโอกาสที่จะได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมและอบรมเจริญปัญญาให้เพิ่มขึ้นนั้น  จึงเป็นโอกาสอันประเสริญยิ่ง  บางชีวิตอาจจะยืนยาว  แต่ไม่มีโอกาสได้อบรมปัญญาเลย  ก็เป็นชีวิตที่ไร้ค่าไร้สาระ  เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม

แต่ละคนก็จะต้องจากโลกนี้สักวันใดวันหนึ่ง  จะต้องหมดสภาพจากความเป็นบุคคลนี้  จะต้องจากทุกสิ่งที่ทุกอย่างที่ตนมีตนรัก  จะต้องจากเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกนี้ทั้งสิ้น....สิ่งที่สะสมก็คือกุศลบ้างและอกุศลบ้าง  มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป  ซึ่งจะเป็นเหตุปัจจัย นำไปปฏิสนธิในภพหรือภูมิใหม่เพื่อเสวยวิบากกรรมอีกต่อไปในสังสารวัฏฏ์....เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะนำติดตัวไป  ก็ควรที่จะเป็น "กุศล" คือการเจริญกุศลด้วยการฟังธรรม  เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้น  และอบรมเจริญสติปัฏฐานอยู่เนือง ๆ

การพิจารณาธรรมะหรือความจริง  ต้องพิจารณาอย่างละเอียดแยบยล (โยนิโสมนสิการ)....ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมก็จะไม่สามารถ  ที่จะพิจารณาลักษณะสภาพธรรมได้เลย  จึงเป็นเหตุให้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ยึดถือสภาพธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นตัวเรา เช่น "ขณะเห็น" ก็ยึดถือว่าเป็น "เราเห็น"..... "ขณะได้ยิน" ก็ยึดถือว่าเป็น "เราได้ยิน" เป็นต้น....ความจริงแล้วลักษณะของสภาพธรรม ที่ปรากฏทางตาคือ "เห็น" เป็นเพียง "นามธรรมหรือจิต" ประเภทหนึ่งซึ่งเกิดที่ตา  ทำหน้าที่เห็นเท่านั้น....ส่วนอารมณ์หรือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตานั้น เป็นเพียง "รูปธรรม" เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล....."นามธรรมและรูปธรรม" เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป....สภาพธรรมที่เกิดปรากฏทางทวารอื่น ๆ  ก็มีนัยเดียวกัน

เมื่อมีอารมณ์มากระทบทางทวารทั้ง ๖ อยู่ตลอดเวลา  สติไม่ได้ตามระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงจิตเกิดความยินดีพอใจบ้าง  หรือไม่ยินดีพอใจบ้าง เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้าง  หรือความรู้สึกเป็นทุกข์บ้างในแต่ละขณะจิต....จึงเป็นชีวิตที่ไร้สาระผ่านไปแต่ละวัน ๆ   ถ้าไม่ได้สะสมอบรมเจริญสติปัฏฐานเลย ก็จะเสียเวลาและโอกาสอันประเสริฐไปในชาติหนึ่ง ๆ 

สำหรับบทความนี้  หากมีข้อความตอนใด ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย....และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ