ขอนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมะทุกท่าน
วันนี้ท่านได้สำรวจตนเองบ้างมั้ยคะ...ว่าสภาพจิตของท่านตลอดทั้งวันเป็นอย่างไรบ้าง เคยสังเกตดูบ้างมั้ยค่ะ ตั้งแต่เช้าตื่นมา จิตใจเป็นอย่างไร พอตื่นลืมตาก็ได้ยินเสียงชาวบ้านข้าง ๆ บ้านทะเลาะกันดัง จะรู้สึกเป็นไงบ้างคะ..ก็คงจะไม่พอใจขัดใจหรือไม่สบายใจแน่นอน "เสียง" เป็นเพียงรูปธรรม เพราะไม่รู้อะไรเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด แล้วก็ดับเป็นธรรมดา เสียงไม่สามารถทำให้จิตเศร้าหมองได้ ที่เรารู้สึกไม่พอใจขัดใจ และจิตเศร้าหมองนั้น เพราะเหตุว่ามีนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลและอกุศล นามธรรมชนิดนี้เรียกว่า "เจตสิก"
จิต เป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งในอารมณ์ต่าง ๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านี้ ความรู้สึกขัดใจไม่พอใจนั้นเป็น"โทสมูลจิต" เป็นสภาพธรรมฝ่าย "อกุศล" ถ้าเราได้ยินเสียงเพลงไพเราะในตอนเช้าตื่นมา เราก็จะรู้สึกสบาายใจพอใจ ถึงแม้จะได้ฟังเพียงนิดหน่อยก็ยังมีความชื่นชอบยินดี นี่ก็เป็นสภาพธรรมฝ่าย "อกุศล" เช่นกันนะ ความยินดีพอใจติดข้องต้องการนี้เป็น "โลภมูลจิต" เป็นกิเลสที่นำเราให้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฎมาหลายภพชาตินับไม่ถ้วนแล้ว และยังจะต้องเวียนว่ายต่อไปอีก ถ้าไม่สะสมปัญญาในชาตินี้ จะเห็นว่าแม้กุศลก็เกิดยากมากเพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของนามธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก
ถ้าเป็นกรณีที่ตื่นมาก็ได้ยิน เสียงธรรมะบรรยายจากวิทยุ จิตใจก็ผ่องใสแช่มชื่น ขณะนั้นจิตเป็น "กุศล" เพราะเหตุว่ามี "สติเจตสิก" เกิดร่วมกับจิตในขณะนั้น ขณะใดที่สติเกิดขณะนั้นจิตเป็น "กุศลจิต"
จะเห็นได้ว่า...ชีวิตคนเราวัน ๆ จิตเป็นไปในอกุศลซะส่วนมาก เพราะว่าการที่จิตจะเป็น "กุศลจิต" ได้นั้น
จะต้องประกอบด้วย "สติ" ซึ่งเป็น "ธรรมะฝ่ายกุศล" หรือเรียกอีกชื่อว่า "โสภณธรรม" อยู่ดี ๆ สติจะเกิดเองไม่ได้เลย ถ้าไม่เคยได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน เพราะเหตุว่า สติมีหลายขั้นหรือหลายระดับ
การที่จะสติจะเกิดได้นั้น จะต้องเป็นไปในขั้นทาน ขั้นรักษาศีล ขั้นเจริญความสงบของจิต และขั้นเจริญปัญญา ดังนั้นจึงต้องมีการฟังพระธรรม เป็นการสะสมความเข้าใจเพื่อละ "ความไม่รู้" (โมหะ) ซึ่งเป็นสติขั้นการฟังก่อน จนกว่ามีความเข้าใจมากขึ้น ๆ อบรมให้มีขึ้น เจริญขึ้น จนเป็นสติในขั้นสูงขึ้นตามลำดับ
ท่านทราบมั้ยว่า..สติระลึกรู้อะไร...สติระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็น "นามธรรม" บ้าง และระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็น "รูปธรรม" บ้าง การที่สติจะเกิดขึ้นและระลึกได้ถูกต้องเป็น "สัมมาสติ" นั้น ต้องฟังพระธรรม แล้วหมั่นระลึกรู้สภาพธรรมขณะนี้เดี๋ยวนี้ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ให้จิตรู้ได้ ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้
สำหรับวันนี้..ก็ได้เขียนมาพอสมควรแล้ว เดี๋ยวท่านจะเบื่อกันซะก่อน... อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ "การได้พบพระธรรมเป็นลาภอันประเสริฐ" ควรหรือที่จะเบื่อในการศึกษา
หากมีข้อความใดขาดตกหรือผิดพลาดประการใด อันเกิดจากความด้อยปัญญาของผู้เขียนเอง ก็ขอกราบขอขมาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยเจ้า และครูบาอาจารย์ทุกท่าน และขออโหสิกรรมด้วยเมตตาจิตจากท่านผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ใฝ่ในธรรมะทุกท่าน
วันนี้ท่านได้สำรวจตนเองบ้างมั้ยคะ...ว่าสภาพจิตของท่านตลอดทั้งวันเป็นอย่างไรบ้าง เคยสังเกตดูบ้างมั้ยค่ะ ตั้งแต่เช้าตื่นมา จิตใจเป็นอย่างไร พอตื่นลืมตาก็ได้ยินเสียงชาวบ้านข้าง ๆ บ้านทะเลาะกันดัง จะรู้สึกเป็นไงบ้างคะ..ก็คงจะไม่พอใจขัดใจหรือไม่สบายใจแน่นอน "เสียง" เป็นเพียงรูปธรรม เพราะไม่รู้อะไรเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด แล้วก็ดับเป็นธรรมดา เสียงไม่สามารถทำให้จิตเศร้าหมองได้ ที่เรารู้สึกไม่พอใจขัดใจ และจิตเศร้าหมองนั้น เพราะเหตุว่ามีนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลและอกุศล นามธรรมชนิดนี้เรียกว่า "เจตสิก"
จิต เป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งในอารมณ์ต่าง ๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านี้ ความรู้สึกขัดใจไม่พอใจนั้นเป็น"โทสมูลจิต" เป็นสภาพธรรมฝ่าย "อกุศล" ถ้าเราได้ยินเสียงเพลงไพเราะในตอนเช้าตื่นมา เราก็จะรู้สึกสบาายใจพอใจ ถึงแม้จะได้ฟังเพียงนิดหน่อยก็ยังมีความชื่นชอบยินดี นี่ก็เป็นสภาพธรรมฝ่าย "อกุศล" เช่นกันนะ ความยินดีพอใจติดข้องต้องการนี้เป็น "โลภมูลจิต" เป็นกิเลสที่นำเราให้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฎมาหลายภพชาตินับไม่ถ้วนแล้ว และยังจะต้องเวียนว่ายต่อไปอีก ถ้าไม่สะสมปัญญาในชาตินี้ จะเห็นว่าแม้กุศลก็เกิดยากมากเพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของนามธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก
ถ้าเป็นกรณีที่ตื่นมาก็ได้ยิน เสียงธรรมะบรรยายจากวิทยุ จิตใจก็ผ่องใสแช่มชื่น ขณะนั้นจิตเป็น "กุศล" เพราะเหตุว่ามี "สติเจตสิก" เกิดร่วมกับจิตในขณะนั้น ขณะใดที่สติเกิดขณะนั้นจิตเป็น "กุศลจิต"
จะเห็นได้ว่า...ชีวิตคนเราวัน ๆ จิตเป็นไปในอกุศลซะส่วนมาก เพราะว่าการที่จิตจะเป็น "กุศลจิต" ได้นั้น
จะต้องประกอบด้วย "สติ" ซึ่งเป็น "ธรรมะฝ่ายกุศล" หรือเรียกอีกชื่อว่า "โสภณธรรม" อยู่ดี ๆ สติจะเกิดเองไม่ได้เลย ถ้าไม่เคยได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน เพราะเหตุว่า สติมีหลายขั้นหรือหลายระดับ
การที่จะสติจะเกิดได้นั้น จะต้องเป็นไปในขั้นทาน ขั้นรักษาศีล ขั้นเจริญความสงบของจิต และขั้นเจริญปัญญา ดังนั้นจึงต้องมีการฟังพระธรรม เป็นการสะสมความเข้าใจเพื่อละ "ความไม่รู้" (โมหะ) ซึ่งเป็นสติขั้นการฟังก่อน จนกว่ามีความเข้าใจมากขึ้น ๆ อบรมให้มีขึ้น เจริญขึ้น จนเป็นสติในขั้นสูงขึ้นตามลำดับ
ท่านทราบมั้ยว่า..สติระลึกรู้อะไร...สติระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็น "นามธรรม" บ้าง และระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็น "รูปธรรม" บ้าง การที่สติจะเกิดขึ้นและระลึกได้ถูกต้องเป็น "สัมมาสติ" นั้น ต้องฟังพระธรรม แล้วหมั่นระลึกรู้สภาพธรรมขณะนี้เดี๋ยวนี้ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ให้จิตรู้ได้ ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้
สำหรับวันนี้..ก็ได้เขียนมาพอสมควรแล้ว เดี๋ยวท่านจะเบื่อกันซะก่อน... อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ "การได้พบพระธรรมเป็นลาภอันประเสริฐ" ควรหรือที่จะเบื่อในการศึกษา
หากมีข้อความใดขาดตกหรือผิดพลาดประการใด อันเกิดจากความด้อยปัญญาของผู้เขียนเอง ก็ขอกราบขอขมาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยเจ้า และครูบาอาจารย์ทุกท่าน และขออโหสิกรรมด้วยเมตตาจิตจากท่านผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ