ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังมีข่าวมหาภัยพิบัติน้ำท่วม นำความวิบัติมาสู่ประเทศชาติบ้านเมืองหาค่าประมาณมิได้ นับว่าเป็นมหาภัยที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้คนและสัตว์เป็นจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนมาก.....แต่ว่าภัยจาก "กิเลสท่วมใจ" อยู่ทุกขณะจิตนั้น เป็นทุกข์มากกว่าหลายเท่า ขณะจิตเห็นเกิดก็กิเลสท่วมแล้ว ขณะได้ยินก็กิเลสท่วม ขณะลิ้มรสก็กิเลสท่วม ขณะจิตคิดก็โดนกิเลสท่วมอีกเช่นกัน....เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า "กิเลสท่วมใจ" เป็นภัยที่ร้ายแรงยิ่งกว่าภัยน้ำท่วม เพราะเหตุว่าลอยคออยู่กลางการท่วมของกิเลสโดยไม่รู้ตัว....ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริง ก็จะไม่มีทางที่จะคลายทุกข์ได้เลย...ทุกข์เกิดเพราะน้ำท่วม ขณะที่จิตคิดเป็นอกุศล จิตก็ท่วมด้วยกิเลสซะแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มีความเข้าใจ (ปัญญา) ธรรมะจริง ๆ แล้ว จะเอาอะไรไปดับกิเลสได้ จะคลี่คลายทุกข์ได้อย่างไร
กิเลสคืออะไร....กิเลสเป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมอง ไม่บริสุทธิ์ ไม่ผ่องใส....ขณะที่เกิดความยินดีพอใจ ติดข้องต้องการในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ เศร้าหมอง ไม่สบายใจ เป็นทุกข์ สติไม่สามารถระลึกรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงในขณะนั้นได้ และอวิชชา (ความไม่รู้) ไม่สามารถเห็นได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมอง ไม่สบายใจ ไม่บรุิสุทธิ์ เดือดร้อนใจเพราะความติดข้องต้องการ ซึ่งเป็น "อกุศลธรรม" ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ปัญญาไม่พิจารณา ก็จะไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็น "โลภะ" หรือขณะที่มีสภาพธรรมความขุ่นเคือง ขัดข้อง หยาบกระด้าง ไม่พอใจเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็น "โทสะ" ....และขณะที่มีความหลงลืมไม่รู้สภาพธรรม ที่ปรากฏขณะนั้นตามความเป็นจริง ก็เป็น "โมหะ" ที่กล่าวมานี้เป็นอกุศลทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวันของปุถุชนทั่ว ๆ ไป คือผู้ยังมีกิเลสอยู่ จะพ้นจาก "โลภะ" ไปไม่ได้เลย....เมื่อใดมีความยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เมื่อนั้นยังเป็นผู้มี "กิเลส" อยู่.....กิเลสที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ เมื่อมีกำลังแรงกล้า ก็สามารถเป็นอกุศลทางกายและอกุศลทางวาจาได้ ถึงแม้ว่าอกุศลทางกายและทางวาจาทั้งสองทางนี้ ดับไปแล้วก็ตาม แต่การสะสมของกรรม ที่สืบต่ออยู่ทุกขณะ มีการเกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อย ๆ นั้น ก็จะเป็นเหตุปัจจัย หรือเป็นกรรมปัจจัย คือเป็นสภาพธรรมที่ทำให้เกิดผลหรือวิบาก (วิบากจิตและเจตสิก) เกิดขึ้น....ดังนั้นจึงต้องรู้ว่าขณะใดเป็น "กิเลส" ขณะใดเป็น "กรรม" และขณะใดเป็น "วิบาก"
จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้เย็น จิตรู้ร้อน จิตรู้อ่อน จิตรู้แข็ง จิตรู้ไหว จิตรู้ตึง เป็นผลของกรรม (เป็นวิบากจิต) ทั้งสิ้น....ขณะใดได้เห็นสิ่งที่สวยงามหรือสิ่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นเป็นผลของ "กุศลกรรม"....ขณะใดได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ขณะนั้นเป็นผลของ "อกุศลกรรม" ....ขณะใดจะเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก ก็ย่อมแล้วแต่ว่า กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมจะเป็นปัจจัยให้วิบากนั้น ๆ เกิดขึ้นทางทวารหนึ่งทวารใด
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ถ้าเป็นผู้ตรงและละเอียด ก็จะสามารถรับพระธรรมเข้าไว้ในจิตใจด้วยความเห็นถูก ความคิดถูกและความคิดดี และก็จะสามารถศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรมจนสามารถเกิดปัญญาในขั้นสูงสุดได้
สำหรับบทความนี้ก็เป็นเพียงย่อ ๆ เท่านั้น....หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย...และขอโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน