ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้สนใจในพระธรรมทุกท่าน
พรหมวิหาร เป็นคุณธรรมของผู้ประเสริฐ เป็นเรื่องที่ละเอียดซึ่งควรพิจารณา....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเน้นให้อบรมเจริญให้มาก ๆ เพราะเหตุว่า "พรหมวิหาร " เป็นความสงบของจิตในชีวิตประจำวัน หรือเป็นธรรมเครื่องอยู่ของจิตในชีวิตประจำวัน
พรหมวิหาร ๔ ได้แก่ ๑.เมตตา ๒.กรุณา ๓.มุทิตา ๔.อุเบกขา
๑.เมตตาพรหมวิหาร.....เมตตา แปลว่า มิตรไมตรี ความเป็นเพื่อนสนิทสนมด้วยความจริงใจ....สภาพปรมัตถธรรมของเมตตาคือ อโทสเจตสิก....ผู้ที่จะเจริญเมตตา จะต้องเป็นผู้ที่รู้จักลักษณะของเมตตาก่อน ต้องพิจารณาสภาพของจิต หรืออาการของจิตขณะนั้น ประกอบด้วยเมตตาจริง ๆ หรือไม่ แล้วจึงค่อยเจริญเมตตาตามลำดับขั้น....เมตตามีลักษณะเป็นมิตรไมตรี สนิทสนมกับทุกคน มีความเอ็นดู ปกป้องคุ้มครอง เกื้อกูลคอยแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขมาให้ มีความสงสารและหวั่นไหวเมื่อเพื่อนมีความทุกข์ ไม่หาโทษให้เพื่อนเป็นทุกข์ ด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจาและทางใจ
ถ้าพิจารณาสภาพของจิตและความประพฤติที่เป็นไปทางกาย วาจา ใจ อยู่บ่อย ๆ ก็จะเป็นการอบรมเจริญเมตตาอย่างแท้จริงให้เพิ่มขึ้น.....การเจริญเมตตาตามลำดับขั้น ก็คือเมตตากับคนที่อยู่เฉพาะหน้า คนใกล้ชิด ขณะนั้นให้พิจารณาความรู้สึกของตน ว่าเป็นเพื่อนเป็นมิตรไมตรี สนิทสนมมีความจริงใจหรือไม่..... ถ้าขณะนั้น ไม่มีความรู้สึกเป็นมิตรสนิทสนม เมตตาก็จะเจริญไม่ได้....เมตตาพรหมวิหารเป็นเมตตาที่กว้างขวางมากไม่มีขอบเขต....การแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง เป็นการเตือนตนเองเท่านั้น....จะสำเร็จประโยชน์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเมตตาต่อบุคคลอื่นจริง ๆ......การแผ่เมตตาให้แก่บุคคลแรกคือ ผู้ที่มีคุณเสมอเหมือนครูบาอาจารย์ ผู้ประกอบด้วยคุณธรรม มีเมตตาและกุศลธรรม เมื่อนึกถึงครั้งใดก็เกิดกุศลจิตทุกเมื่อ ซึ่งจะทำให้จิตมีความอ่อนโยน เมื่อนึกถึงบุคคลนั้นแล้ว ก็จะนึกถึงแต่ในทางที่ดี ทำให้กุศลจิตเกิดบ่อย ๆ หวังดีต่อบุคคลนั้น ด้วยประการทั้งปวง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการอบรมเจริญเมตตา....
การอบรมเจริญเมตตาจะต้องรู้ว่า ตนเองมีเมตตามากหรือน้อยขนาดไหน หรือว่ายังขาดเมตตาอยู่มาก จึงค่อย ๆ อบรมเจริญให้มีทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้ได้ว่า คนที่รักหรือคนที่ชัง ขณะที่เห็น ที่ได้ยิน หรือขณะที่คิดถึง ย่อมประกอบด้วยเมตตาเสมอ......ขณะที่เห็นศัตรูก็พร้อมที่จะเกื้อกูลนำสิ่งที่เป็นประโยชน์สุขไปให้เช่นเดียวกับคนที่รัก.....การอบรมเจริญเมตตาจะช่วยขัดเกลา และละคลายอกุศลหลายประเภท ให้เบาบางลงได้มากทีเดียว เช่น "มานะ" มีลักษณะสำคัญตน ถือตน ข่มผู้อื่น ซึงเป็นอกุศลที่ขวางกั้นเมตตาไม่ให้เกิดขึ้น......ขณะใดที่ "สติสัมปชัญญะ" ไม่่เกิด ก็จะไม่สามารถเห็น "มานะ" ได้เลย และถ้ามีเมตตาจริง ๆ ก็จะไม่มีมานะเลย....ขณะใดที่มี "ริษยา" ขณะนั้นไม่มีเมตตา...ขณะใดมีความ ขุ่นเคือง ขณะนั้นไม่มีเมตตา....เมตตาต้องไม่ประกอบด้วย "โลภะ" (ความติดข้องต้อง ยึดมั่น ถือมั่น)....เมตตาบำบัดความอาฆาตและระงับความพยาบาท เพราะเหตุว่าเมตตา หมายถึงความเป็นมิตรไมตรีสนิทสนมอย่างแท้จริง.....เมตตาที่ประกอบด้วยความรักใคร่เสน่หาไม่ใช่เมตตาที่แท้จริง.....การที่จะสามาถแยกได้ว่าจิตขณะนั้นเป็น "กุศล" หรือ "อกุศล" นั้น ก็จะต้องเป็นผู้เจริญสติปัฏฐานอยู่เนื่อง ๆ ต้องเป็นปัญญาและสติสัมปชัญญะเท่านั้น จึงจะรู้ได้ว่าอะไรเป็นกุศลและอกุศล
สำหรับเรื่องพรหมวิหาร ๔ นี้ ยังมีตอนต่อไปอีก
หากมีข้อความใดขาดตกหรือผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย.....ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน