หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมตตาและเมตตาบารมี



 


ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเมตตาจิตทุกท่าน

ขณะนี้ท่านกำลังโกรธใครอยู่หรือปล่าวคะ....ผู้ใดไม่โกรธตอบผู้โกรธอยู่  ผู้นั้นชื่อว่า "ชนะสงคราม".....ผู้ใดโกรธตอบผู้โกรธอยู่   ผู้นั้นชื่อว่า "มีจิตลามก" พุทธพจน์

ขณะใดที่โกรธ (โทสะ) ขณะนั้นไม่มีเมตตา...."เมตตา"  คือ ความไม่โกรธ (อโทสะ) ที่มีต่อผู้อื่น ความเป็นมิตร เป็นเพื่อน มีไมตรี หวังดี ปรารถนาดี คิดที่จะช่วยเหลือ เกื้อกูล อุปถัมภ์ เอ็นดู ไม่เบียดเบียนทำร้าย ให้ประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นเพื่อนที่ดีต่อทุกคน ไม่จำกัดและแบ่งแยก ซึ่งเป็นลักษณะของ "เพื่อนแท้" เป็นสภาพธรรมะชนิดหนึ่ง...เราจะสังเกตได้ว่า เมื่อใดที่เรามีความปรารถดีและหวังดีต่อผู้อื่น เมื่อนั้นมีสภาพธรรมะชนิดหนึ่งเกิดขึ้นทำหน้าที่ "หวังดีปรารถนาดี"

เมตตาบารมี...คำว่า "บารมี" คือ การสร้างกุศล (ความดี) เพื่อขัดเกลาอกุศลธรรม ซึ่งตามปกติเราไม่รู้ตัวเอง ว่ายังเป็นผู้มีอกุศลจิตมากแค่ไหน เช่น โลภะ (ความยินดี พอใจ ติดข้อง ต้องการ ยึดถือ)...โทสะ (โกรธ ขัดเตืองใจ หยาบกระด้าง ขุ่นมัว)...มานะ (ความสำคัญตน)....อิสสา (ความริษยา)....มัจฉริยะ (ความตระหนี่)....อกุศลเหล่านี้ จะลดลงเบาลง คลายลง ก็ต่อเมื่อเราได้อบรมเจริญเมตตา ให้เกิดขึ้นมีขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  จนมีกำลังถึงขั้นเป็น "เมตตาบารมี"....เป็นความหวังดี ปรารถนาดีช่วยเหลือ เกื้อกูล ไม่เลือกและแบ่งแยกบุคคล ชาติกำเนิด ฐานะ และไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ

จะอบรมเจริญเมตตาบารมีได้อย่างไร...การอบรมเจริญเมตตาบารมีนั้น จะต้องเริ่มจากคนใกล้ ๆ ตัวเราก่อน เช่น บิดามารดา ญาติพี่น้อง คนในครอบครัว เพื่อนสนิท คนอื่น คนแปลกหน้า  ต้องทำได้กับทุกคน จึงจะเป็นเมตตาบารมี...ขณะมีเมตตาต้องไม่มีความสำคัญตน (มานะ)....ต้องไม่ขุ่นเคืองใจ เพราะเหตุว่า เมตตาเป็นเครื่องมือบำบัดความอาฆาตพยาบาท....เมตตาต้องเป็นไปเพื่อการเกื้อกูล...ต้องไม่ประกอบด้วย "โลภะ" (ความติดข้อง) และไม่หวังผลตอบแทน....ทำได้เสมอเหมือน "มารดาทำกับบุตร"

เมตตาอบรมเจริญให้มีได้ ด้วยความเข้าใจถูกต้อง...ด้วยสติขั้นต้น ตามระลึกรู้ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ อยู่เรื่อย ๆ.....ค่อย ๆ อบรมให้มีมากขึ้น จนเป็นเมตตาท่ี่มั่นคง จนเป็น "เมตตาบารมี" .....พิจารณาเนื่อง ๆ ขณะที่กำลัง "กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด" เป็นกุศลหรืออกุศล ....ขณะกำลัง "พูด" เป็นกุศลหรืออกุศล...พิจารณาเนื่อง ๆ ขณะที่กำลัง "คิด" เป็นไปในกุศลหรืออกุศล....ขณะที่กำลัง "โกรธ" ให้พิจารณาเห็นโทษของ "โทสะ" ว่ากำลังทำร้ายผู้โกรธอยู่....เมตตายังศีลให้สมบูรณ์ด้วย เพราะเหตุว่าประกอบด้วยความจริงใจ

เมื่อเมตตาเกิดก็ระลึกรู้ว่าเป็นเพียง "สภาพธรรมะ" หรือ "นามธรรม" ชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่ "เรา" ...เมตตาเกิดขึ้นเองไม่ได้ เพราะว่าเป็นธรรมะ...ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา...ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด...ขอทุกท่านจงเป็นผู้เปี่ยมด้วย "เมตตาบารมี"เถิด...ไว้พบกันอีกในบทความต่อไปจ๊ะ

หากมีข้อความใดผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอกราบขอขมาแด่พระรัตนตรัย และขออโหสิกรรมจากท่านผู้อ่านทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย....ขอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ